แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกาย ดังนี้แม้โจทก์ไม่ได้อ้างบทลงโทษฐานทำร้ายร่างกายมาก็ตาม เมื่อความผิดฐานทำร้ายร่างกายอาจแยกเป็นความผิดสำเร็จส่วนหนึ่งก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้(อ้างฎีกาที่ 339/2479
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพกศาสตราวุธไปในถนนหลวงโดยมิได้รับอนุญาต และได้ลักปากกายี่ห้องเซฟเฟอรของพลตำรวจสาย ๑ ด้าม โดยจำเลยใช้ศาสตราวุธมีคมแทงพลตำรวจสายและพลตำรวจบัว ขอให้ลงโทษ
จำเลยปฎิเสธ
ศาลทหารบกที่ ๑ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลทหารกลางพิพากษากลับคำพิพากษาศาลทหารบกที่ ๓ ว่าจำเลยมีความผิด ๒ กระทง คือ (๑) ฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม. อาญา ม.๒๕๔ จำคุก ๖ เดือน (๒) มีศาสตราวุธพาไปในถนนหลวงตาม ม. ๓๓๕ ข้อ ๒ ม.๒ ปรับ ๑๒ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยมีมีดซึ่งเป็นศาสตราวุธพาไปในถนนหลวงโดยมิได้รับอนุญาต จำเลยใช้มีดนี้แทงพลตำรวจสาย พลตำรวจบัวบาดเจ็บจริง
แม้คดีนี้โจทก์จะกล่าวหาว่าชิงทรัพย์ แต่โจทก์ก็กล่าวในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าจำเลยได้ทำร้ายร่างกายบุคคลถึงบาดเจ็บ ซึ่งอาจแยกเป็นความผิดสำเร็จส่วนหนึ่ง ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๙/๒๔๗+
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย