แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองคนมีความผิด 2 กะทง ๆ หนึ่งฐานข่มขืนกระทำชำเรา และอีกกะทงหนึ่งฐานชิงทรัพย์ตาม ก.ม.อาญา ม.243,299,63,71 โดยจำคุกฐานข่มขืนคนละ 1ปี ฐานชิงทรัพย์คนละ 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยลงโทษจำคุกจำเลยฐานนี้คนละ 4 ปี ส่วนโทษฐานชิงทรัพย์คงวางโทษอย่างเดิมรวมโทษ 2 กะทงเป็นจำคุก คนละ 8 ปี เช่นนี้ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก ฎีกาในข้อเท็จจริงฐานข่มขืนกระทำชำเราได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันชิงทรัพย์ของ น.ส.เพลิน แซ่เตีย ไปรวมราคา ๑,๘๐๐ บาท และจำเลยบังอาจใช้กำลังปลุกปล้ำผลัดเปลี่ยนกับข่มขืนกระทำชำเรา น.ส.เพลิน แซ่เตีย ซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลยจนสำเร็จความใคร่ คนละ ๑ ครั้ง เหตุเกิดที่ตำบลบ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก จังหวัด เพ็ชรบูรณ์ เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์แล้วขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๒๔๓,๒๙๙,๖๓,๗๑
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธข้อหา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองทำผิด ก.ม.อาญา ม.๒๔๓,๒๙๙,๖๓,๗๑ รวม ๒ กะทงลงโทษจำคุกฐานข่มขืนกระทำชำเราคนละ ๑ ปี ฐานชิงทรัพย์คนละ ๔ ปี รวมกำหนดโทษคนละ ๕ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๖๕๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยโจทก์ขอให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราให้หนักขึ้นอีก
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงและเห็นว่ากำหนดโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเบามากไป จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษความผิดฐานนี้ คนละ๔ ปี รวมโทษ ๒ กะทง เป็นคนละ ๘ ปี นอกจากที่แก้พิพากษายืน
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกาต่อมา ศาลฎีกาสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อหาเรื่องข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้นส่วนข้อหาฐานชิงทรัพย์เป็นอันยุติ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าวันเกิดเหตุเวลา ๓.๐๐ น.เศษ น.ส.เพลินและนายสอนไปดักซื้อมะพร้ามจากพวกแม่ค้าที่หน้าเรือนนายนาคข้างวัดศรีธรรมา นายสอนก่อไฟผิงอยู่ข้างเรือนจวนสว่างมีเสียงคนพูดมาตามทางริมแม่น้ำห้วยขอนแก่น น.ส.เพลินและนายสอนเข้าใจว่าเป็นพวกแม่ค้าเอามะพร้าวมาขายจึงเดินลงไปดูปรากฎว่าเป็นสินค้าอย่างอื่นจึงพากันกลับขึ้นตลิ่งมาสวนทางกับชาย ๒ คน นายสอนฉายไฟดูจำได้ว่าเป็นจำเลยทั้ง ๒ นี้นายสอนกลับไปนั่งที่กองไฟ น.ส.เพลินไปรออยู่ที่เรือนนายนาคอย่างเดิมสักครู่จำเลยทั้งสองเดินกลับขึ้นมาบนตลิ่งเข้าไปหานายสอนและถามว่ามาธุระอะไร นายสอนว่ามาซื้อมะพร้าว จำเลยที่ ๑ เอามีดปลายแหลมจ่อหน้าอกนายสอนและจำเลยที่ ๒ ขู่ว่า”มึงอย่าพูดมากไปกูจะกลับมาฆ่ามึงทิ้งเสีย” ขู่แล้วจำเลยทั้งสองก็ตรงเข้าไปหา น.ส.เพลิน พ.ส.เพลินจะลุกหนีขึ้นเรือนนายนาค แต่จำเลยที่ ๑ เข้าจับแขนไว้ จำเลยที่ ๒ เข้าช่วยฉุดด้วยพาตัวจากตลิ่งลงไปทางแม่น้ำ น.ส.เพลินร้องให้คนช่วย นายสอนกลัวจำเลยวิ่งหนีเข้าไปอยู่ในวัดศรีธรรมา จำเลยทั้งสองฉุด น.ส.เพลินลงไปที่หาดทรายริมแม่น้ำ น.ส.เพลินดิ้นและกัดมือจำเลยที่ ๑ ด้วย แต่จำเลยไม่ยอมปล่อย จำเลยที่ ๒ กดคอ
น.ส.เพลินลงนอนบนหาดทรายใช้มือหนึ่งอุดปากและกดเอาไว้ อีกมือหนึ่งปลดสายสร้อยต่างหูและเงินห่อผ้าเช็ดหน้าเหน็บเอวไป จำเลยที่ ๑ กดทางปลายเท้าและใช้กำลังข่มขืนกระทำชำเรา น.ส.เพลินจนสำเร็จความใคร่ ๑ ครั้ง แล้วเปลี่ยนตัวมาอุดปากบีบคอแทนที่ให้จำเลยที่ ๒ กลับไปข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ ๑ ครั้ง แล้วพากันหนีขึ้นตลิ่งไป น.ส.เพลินได้ไปแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจในตอนเช้า ตำรวจตามจับจำเลยทั้งสองได้ในวันนั้นเอง แพทย์ได้ตรวจของลับของ น.ส.เพลินปรากฎว่ามีขอบล่างช่องคลอดมีรอยฉีกขาด โลหิตออก ภายในช่องคลอดมีโลหิตเล็กน้อยปนกับเชื้ออสุจิของชาย และยืนยันว่า น.ส.เพลินถูกกระทำชำเรา
จำเลยนำสืบในเรื่องฐานที่อยู่
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยาน ๒ ฝ่ายโดยละเอียดแล้วเห็นว่า น.ส.เพลินเบิกความเป็นหลักฐานแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองได้ข่มขืนกระทำชำเราพยานจนสำเร็จความใคร่คนละ ๑ ครั้ง บาดแผลที่ปรากฎตามใบชัณสูตรบาดแผลของ น.ส.เพลินและถ้อยคำของนายประดิษฐ์แพทย์ผู้ชัณสูตรบาดแผลยืนยันประกอบถ้อยคำของน.ส.เพลินอย่างชัดเจน นายสอนยืนยันว่าจำเลยทั้งสองฉุด น.ส.เพลินลงไปทางแม่น้ำ ได้ยินเสียง น.ส.เพลินร้องให้คนช่วยและเสียงครางที่หาดทราย นอกจากนี้ยังมีนายเส็งอีกปากหนึ่งอยู่คนละฟากแม่น้ำกับที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงร้องให้ช่วย จึงออกจากบ้านลงมาในแม่น้ำจะข้ามฟากมาช่วย ฉายไฟฟ้าเดินทางเห็นจำเลยทั้งสองกดหญิงอยู่ที่หาดทราย และเสียงจำเลยขู่ไปว่าให้หยุดมิฉะนั้นจะยิงพยานกลัวเลยกลับไป ใช่แต่เท่านั้น น.ส.เพลินได้ไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตอนเช้าทันที เจ้าพนักงานจึงติดตามตัวจำเลยทั้ง ๒ มาได้ในเวลาอันรวดเร็วปรากฎว่าหลังมือซ้ายของจำเลยที่ ๑ มีรอยถูกกัดเป็นรูปรอยฟัน ๕-๖ รอย มีโลหิตติดอยู่ด้วย ซึ่งเจ้าพนักงานได้ถ่ายรูปส่งเป็นของกลางไว้แล้ว หลักฐานพยานโจทก์ทั้งมวลนี้จึงประกอบให้เชื่อได้สนิทว่าจำเลยทั้งสองได้ข่มขืนกระทำชำเรา น.ส.เพลินดังข้อหา
พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างหลักฐานของโจทก์ทั้งนี้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมาชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืนและให้ยกฎีกาจำเลย