คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1728/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะตกลงซื้อขายที่ดินกันโจทก์ร่วมรู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของ แต่เป็นนายหน้าขายที่ดินเท่านั้น แสดงว่า โจทก์ร่วมซึ่งประกอบอาชีพจัดสรรบ้านและที่ดินขายย่อมทราบว่าผู้ทำธุรกิจเป็นนายหน้านำที่ดินของบุคคลอื่นมาเสนอขายย่อมต้องการบำเหน็จเป็นค่าตอบแทนทั้งเมื่อโจทก์ร่วมตกลง ซื้อที่ดินแล้วโจทก์ร่วมก็ไม่ได้พบเจ้าของที่ดินเลยนั้นก็ไม่เป็น การผิดปกติที่จะฟังว่าเป็นการปกปิดหลอกลวงโจทก์ร่วม เพราะจำเลยอาจต้องการผลต่างของราคาที่ดินเป็นกำไร อีกส่วนหนึ่งจากการขายที่ดินก็เป็นได้ ทั้ง ท.และอ. เจ้าของที่ดินก็รับว่าได้รับเงินมัดจำที่โจทก์ร่วมมอบผ่านจำเลย มาให้ตนแล้ว นอกจากนี้ก่อนที่โจทก์ร่วมจะตกลงซื้อที่ดิน โจทก์ร่วมได้ไปดูที่ดินกับจำเลยแล้วด้วย ดังนั้น การที่ โจทก์ร่วมนำหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดินไปตรวจแล้ว ปรากฏว่าชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองไม่ใช่ ท.กับอ. ก็ดีหรือต่อมาภายหลังเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบแล้วไม่อาจที่จะออกหนังสือรับรอง การทำประโยชน์เพื่อโอนขายให้แก่โจทก์ร่วมได้ตามที่ตกลงกันก็เป็นเรื่องของเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเป็นไปตามที่ตกลงกันเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงการที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ร่วมเพื่อนำไปให้เจ้าของที่ดินจำนวน 600,000 บาทนั้นจำเลยได้ทำหลักฐานการรับเงินให้แก่โจทก์ร่วมจนครบถ้วน และเมื่อโจทก์ร่วมขอเงินคืน จำเลยก็รับว่าจะคืนให้ แต่ขอเลื่อนเวลาออกไปก่อน พฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็น เรื่องผูกพันกันในทางแพ่งว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายผิดสัญญาคดีของโจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่ง ควรบอกให้แจ้ง อันจะเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 600,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายไพศาล การุณรังษี ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ร่วมซื้อที่ดินทั้งสองแปลงนั้นโจทก์ร่วมและนายอดุลย์ หมู่พยัคฆ์ เบิกความถึงฐานะของจำเลยว่าจำเลยเป็นนายหน้าขายที่ดินเท่านั้น โดยโจทก์ร่วมตอบทนายจำเลยถามค้านว่าขณะตกลงซื้อขายที่ดินกันโจทก์ร่วมรู้ว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของแต่เป็นนายหน้าขายที่ดินทั้งสองแปลง ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ร่วมซึ่งประกอบอาชีพจัดสรรบ้านและที่ดินขายย่อมทราบว่าผู้ทำธุรกิจเป็นนายหน้านำที่ดินของบุคคลอื่นมาเสนอขายย่อมต้องการบำเหน็จเป็นค่าตอบแทน ทั้งเมื่อโจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินแล้วตามที่โจทก์ร่วมเบิกความว่าโจทก์ร่วมไม่ได้พบเจ้าของที่ดินตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 เลยนั้น ก็ไม่เป็นการผิดปกติที่จะให้ฟังว่าจะเป็นการปกปิดหลอกลวงโจทก์ร่วม เพราะจำเลยอาจต้องการผลต่างของราคาที่ดินเป็นกำไรอีกส่วนหนึ่งจากการขายที่ดินก็เป็นไปได้นอกจากนี้จำเลยนำสืบว่าเจ้าของที่ดินคือนายทองใบ กิจจาและนายเอนก ยังแหยม โดยนายเอนกได้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยยืนยันว่านายทองใบและนายเอนกซื้อที่ดินมาจากนายถวิล โตจีน และนายกระแส กลิ่นนิ่ม ไร่ละ 21,000 บาท วางมัดจำไว้ 20,000 บาท แล้วให้นายสุนทร ชลประทินนำไปเสนอขาย ต่อมาประมาณ 1 เดือน นายสุนทรก็มาบอกว่าขายให้โจทก์ร่วมได้ไร่ละ 25,000 บาท ทั้งยังเบิกความรับว่าได้รับเงินไว้ 600,000 บาทแล้วด้วย ซึ่งเกี่ยวกับนายทองใบและนายเอนกนั้นได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 17 มิถุนายน 2539 ว่า ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้เรียกนายทองใบและนายเอนกไปสอบปากคำเป็นพยานไว้ แต่โจทก์มิได้นำนายทองใบและนายเอนกมาเบิกความเป็นพยานและมิได้ส่งคำให้การของนายทองใบและนายเอนกในชั้นสอบสวนเป็นพยานเอกสารเพื่อสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่าโจทก์ร่วมไม่เคยพบเจ้าของที่ดินเลยตลอดเวลาที่จำเลยติดต่อเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน นอกจากนี้ก่อนที่โจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินโจทก์ร่วมเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่าได้ไปดูที่ดินกับจำเลยแล้ว ซึ่งจำเลยได้นำสืบว่าโจทก์ร่วมได้นำเสาปูนซิเมนต์ไปปักในที่ดินไว้ตามภาพถ่ายหมาย ล.1 โดยในวันดังกล่าวนายเอนกและนายทองใบก็ไปด้วยโจทก์ร่วมยังได้พบนายถวิลและนายกระแสเจ้าของที่ดินเดิมโดยโจทก์ร่วมได้สอบถามถึงค่าที่ดินที่นายเอนกและนายทองใบค้างชำระนายถวิลและนายกระแสด้วย ที่โจทก์ร่วมอ้างว่าจำเลยได้เสนอขายที่ดินโดยโจทก์ร่วมไม่เคยพบเจ้าของที่ดินจึงไม่อาจรับฟังได้ ดังนั้น การที่โจทก์ร่วมนำหนังสือแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ที่ดินทั้งสองแปลงไปตรวจปรากฏว่าชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองไม่ใช่นายทองใบและนายเอนกก็ดี หรือต่อมาภายหลังเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบแล้วไม่อาจที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เพื่อโอนขายให้แก่โจทก์ร่วมได้ตามที่ตกลงกันโดยโจทก์ร่วมเบิกความว่า เมื่อตกลงซื้อที่ดินกันนั้นจำเลยรับรองว่าออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โอนขายให้โจทก์ร่วมได้ แต่เมื่อถึงวันที่ตกลงกันไว้ไม่สามารถที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่โจทก์ร่วมได้ก็ดี ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามตกลงกันเท่านั้นเมื่อพิจารณาประกอบว่าในการที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ร่วม600,000 บาท นั้นจำเลยได้ทำหลักฐานการรับเงินให้แก่โจทก์ร่วมจนครบถ้วน ทั้งจำเลยและนายเอนกก็เบิกความรับว่าได้รับเงินไปจากโจทก์ 600,000 บาทจริง ซึ่งตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมก็ไม่ได้ความตอนไหนเลยว่าจำเลยบิดพลิ้วว่ามิได้รับเงินไปจากโจทก์ร่วม ทั้งโจทก์ร่วมยังเบิกความอีกว่า เมื่อโจทก์ร่วมขอเงินคืนจำเลยก็รับว่าจะคืนให้แต่ขอเลื่อนเวลาออกไปเช่นนี้ พฤติการณ์ตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมจึงเป็นเรื่องผูกพันกันในทางแพ่งเท่านั้นว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายผิดสัญญาคดีของโจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง อันเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามฟ้องโจทก์ดังเช่นที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share