คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1721/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ถือหุ้นชนิดใดในบรษัทจำกัดย่อมถือว่าเป็นผู้ลงทุนในบริษัทเท่าจำนวนหุ้นที่ถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 ฉะนั้นเมื่อรัฐถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกันเกินกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดของธนาคารเกษตร จำกัด แล้ว ก็ถือว่าธนาคารเกษตร จำกัด มีทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ โดยไม่ต้องคำนึงว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นที่ใช้ค่าหุ้นเป็นตัวเงินหรือเป็นหุ้นที่ออกให้เสมือนหนึ่งได้ใช้เต็มค่าแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานธนาคารเกษตร จำกัด ยักยอกเงินของธนาคาร จึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานรักษาเงินของธนาคารเกษตร จำกัด สาขายะลา ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด และก่อตั้งด้วยทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ มีหน้าที่รักษาเงินรับจ่ายแก่ผู้นำฝากและขอถอนไปรวมตลอดทั้งลงบัญชีรับจ่ายและลงนามในเอกสารหรือตราสารอันเกี่ยวกับกิจการธนาคารดังกล่าว ได้รับเงินลูกค้าบัญชีเงินฝากทั้งประเภททกระแสรายวันและสะสมทรัพย์นำมาฝากไว้ รวมทั้งที่เก็บรักษาไว้จำนวน ๓๙๘,๖๖๐ บาทลงบัญชีจ่ายเงินของนางแวยูโซ๊ะ แวสะตาปอ ลูกค้าบัญชีเงินฝากประเภทสะสมทรัพย์ว่าถอนเงินไป ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งความจริงนายแวยูโซ๊ะไม่ได้มาถอนเงินจำนวนดังกล่าวไป และลงบัญชีจ่ายเงินซึ่งนายแวซูโซ๊ะได้ขอถอนไป ๑,๓๓๐.๖๗ บาท เป็นว่าถอนไป ๑๑,๓๓๐.๖๗ บาท และได้รับเงินค่าหุ้นไฟฟ้าเบตงของธนาคารเกษตร จำกัด สาขายะลา ไว้ ๔,๐๐๐ บาท แต่ไม่นำลงบัญชีเงินสดของธนาคาร แล้วจำเลยได้บังอาจเบียดบังเงินตามรายการทั้งหมดดังกล่าวรวม ๔๓๒,๖๖๐ บาทไว้เป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒,๓๕๓ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓,๔ และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่ธนาคารด้วย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ธนาคารเกษตรเป็นบริษัทเอกชนมิใช่รัฐวิสาหกิจ จำเลยไม่ใช่พนักงานของหน่วยงานของรัฐ ธนาคารมิใช่ผู้เสียหาย ฟ้องเคลือบคลุม และขาดอายุความร้องทุกข์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔ ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔ ซึ่งเป็นบทหนักเพียงบทเดียวและกระทงเดียว ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๑๒ ปี กับให้ใช้เงิน ๔๓๒,๖๖๐ บาท แก่ธนาคารเกษตร สาขายะลา ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยยักยอกเงินของธนาคารเกษตร จำกัด จริง แต่ปัญหาว่าธนาคารเกษตรมีทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐหรือไม่นั้น เห็นว่าธนาคารเกษตรมีหุ้นสามัญชำระเงินครบแล้ว ๑๖,๔๑๘ หุ้น โดยกระทรวงเกษตรถือหุ้นอยู่ ๑,๐๐๐ หุ้น กระทรวงการคลัง ๖,๑๑๘ หุ้น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถืออยู่ ๕,๐๐๐ หุ้น นอกนั้นเป็นหุ้นบุริมสิทธิรวม ๓๕,๐๐๐ หุ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรถืออยู่ ๓๔,๘๕๓ หุ้น หุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นที่มิได้ลงเป็นเงิน แต่เป็นหุ้นที่ได้ออกให้เสมือนหนึ่งว่าได้ใช้เต็มค่าแล้ว จึงไม่นับเป็นหุ้นของรัฐ ซึ่งจะต้องเป็นทุนที่ลงด้วยเงินคือหุ้นสามัญเท่านั้น ส่วนหุ้นที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือยู่ไม่นับว่าเป็นหุ้นของรัฐ เมื่อนับหุ้นสามัญที่รัฐถืออยู่แล้วซึ่งไม่เกินร้อยละห้าสิบ จำเลยจึงไม่ผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ ให้จำคุกไว้ ๓ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า ทุนของรัฐตามความหมายแห่งบทบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ หมายรวมทั้งหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิทั้ง ๒ ประเภท และรวมทั้งหุ้นสามัญ ๕,๐๐๐ หุ้นที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถืออยู่ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่เฉพาะปัญหาว่าการที่รัฐถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ รวมกันเกินกว่าร้อยละห้าสิบของหุ้นทั้งหมด จะถือได้หรือไม่ว่าหุ้นเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๙๖ บริษัทจำกัดย่อมตั้งขึ้นด้วยแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยไม่แยกว่าเป็นหุ้นใช้เป็นตัวเงินหรือใช้ด้วยอย่างอื่นนอกจากตัวเงิน ฉะนั้นผู้ถือหุ้นชนิดใดย่อมได้ชื่อว่าได้ลงทุนในบริษัทเท่าจำนวนหุ้นที่เคยถือเมื่อรัฐถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกันเกินกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดของธนาคารเกษตร จำกัด ก็ถือว่าธนาคารเกษตร จำกัด เกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ โดยไม่ต้องคำนึงว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นที่ใช้ค่าหุ้นเป็นตัวเงิน หรือเป็นหุ้นที่ออกให้เสมือนหนึ่งได้ใช้เต็มค่าแล้ว จำเลยจึงได้ชื่อว่าเป็นพนักงานตามมาตรา ๓ แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ ส่วนปัญหาว่าหุ้นจำนวน ๕,๐๐๐ หุ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทุนของรัฐหรือไม่นั้น ไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share