คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดซึ่งตีราคาทรัพย์ 20,155 บาท อันถือเป็นทุนทรัพย์คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์ แม้คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้ คดีของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าคดีของผู้ร้องต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้องนั้นเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา 142(5),243(1) ประกอบด้วยมาตรา 246และ 247

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 198,750 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่อ้างว่าเป็นของจำเลย 85 รายการ

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ทรัพย์ตามรายการที่ 1 ถึงที่ 13 และรายการที่ 19 ถึงที่ 85เป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่อ้างว่าเป็นของจำเลยรวม 85 รายการ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ทรัพย์ตามรายการที่ 1 ถึงที่ 13 และรายการที่ 19 ถึงที่ 85 เป็นของผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าวโดยตีราคาซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ 20,155 บาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดแม้คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ คดีของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าคดีของผู้ร้องต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัยในข้อเท็จจริงและพิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้อง จึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่ชอบปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีดังนั้น ฎีกาของผู้ร้องในชั้นนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไป”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาอุทธรณ์ผู้ร้องและพิพากษาใหม่

Share