แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมรดกตกทอดจากปู่ย่าตายายมาเป็นของจำเลยแม้จะให้การว่าได้ครอบครองที่ดินด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของแต่ก็เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่แล้วกรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ปัญหาเรื่องการครอบครองที่ดินปรปักษ์ของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องนอกคำให้การไม่ก่อให้เกิดประเด็นถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นกันมาในศาลชั้นต้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่3917ของโจทก์อันเป็นหลักฐานแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ส่วนแบบแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1)ที่จำเลยอ้างเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่1เป็นเจ้าของที่ดินมิใช่หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกันโดยให้เรียกจำเลยในสำนวนที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขออาศัยที่ดินเฉพาะส่วนทางทิศใต้จากมารดาโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ปลูกบ้านลงบนที่ดินดังกล่าว และเมื่อประมาณ 3 ถึง 4 ปี จำเลยที่ 3ปลูกบ้านลงบนที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นที่ดินนาง ถ. โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสามอยู่ในที่ดินต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารพร้อมทั้งรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่นออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ 100 บาท ต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เดิมเป็นของนาง น.เมื่อนาง น. ตายจึงเป็นมรดกตกแก่นางอิ่ม แข่งขัน ซึ่งเป็นบุตรนางอิ่มครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จน พ.ศ. 2497 จึงไปแจ้งการครอบครองต่อทางราชการเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว นางอิ่มยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และนางถนอม ปานประเสริฐ ภรรยาจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นบุตร หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และนาง ถ. ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบ เปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาจนปัจจุบันที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 และนาง ถ.ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นสามีและบุตรของนาง ถ. อยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนาง ถ. ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามพร้อมบริวาร และให้รื้อถอนบ้าน และสิ่งปลูกสร้างอื่นของจำเลยทั้งสามออกจากที่ดิน และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ 100 บาท ต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2และที่ 3
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้น ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบรับกันว่า จำเลยทั้งสามปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.2และศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องตรงกันโดยโจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้ฎีกาโต้เถียงว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 3917ของโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.1 คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามจะต้องออกไปจากที่ดินพิพาทหรือไม่สำหรับประเด็นนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้งสามปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 3917 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวาร ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 3917 ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1ก็ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าว ด้วยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความครอบครองปรปักษ์แล้วพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การของจำเลยแล้วคดีทั้งสามสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 3917ของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นั้นเป็นที่มรดกตกทอดมาจากปู่ ย่าตา ยาย จนถึงจำเลยที่ 1 เป็นที่ดินมีการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ถูกต้องตามกฎหมาย และจำเลยที่ 1 กับพวกได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมากว่า 30 ปีด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมรดกตกทอดมาช้านานแล้ว แม้จะให้การว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ แต่ก็เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิอยู่แล้ว กรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ ปัญหาในเรื่องการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องนอกคำให้การและไม่ก่อให้เกิดประเด็นถือได้ว่า เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติทั้งสอง ศาลว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3917 ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นหลักฐานแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ส่วนแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ที่จำเลยอ้างเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของที่ดินนั้น มิใช่หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า กรณีจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้ออกไป จำเลยจึงไม่สิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น