แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงมีผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลง แต่เมื่อพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านและของจำเลยที่ 3 คงมีแต่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเพียงผู้เดียวโดยจำเลยที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 28, 29 แม้ผู้คัดค้านจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 แทนได้
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2543 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา พันตำรวจโทวัฒนา ศิริสูงเนิน กับพวกร่วมกันจับกุมร้อยตำรวจเอกสมบัติ สิทธิจินดา กับพวกรวม 4 คน พร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีน จำนวน 10,000 เม็ด น้ำหนัก 909.658 กรัม มีประมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 239.980 กรัม เป็นของกลางโดยกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4801/2543 หมายเลขแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวปรากฏต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินของดาบตำรวจสุนัน แสนแก้ว จำเลยที่ 3 กับของนางศุจีมาศ แสนแก้ว ผู้เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกรณีเร่งด่วนและมีคำสั่งที่ 98/2543 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ให้อายัดทรัพย์สินของนางศุจีมาศไว้ชั่วคราว ดังนี้ คือรายการที่ 1 เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 101 – 1 – 24540 – 7 รายการที่ 2 เงินฝากในบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษธนาคารออมสิน สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 07 – 5101 – 20 – 104665 – 4 และรายการที่ 3 เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 409 – 0 – 00619 – 8 ต่อมามีคำสั่งที่ 141/2543 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไว้ชั่วคราว คือ รายการที่ 1 เงินสดจำนวน 80,000 บาท รายการที่ 2 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้า หมายเลยทะเบียน กข 1459 กาฬสินธุ์ จำนวน 1 คัน รายการที่ 3 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย หมายเลย 01 – 2601745 จำนวน 1 เครื่อง พร้อมแบตเตอรี่ 1 ก้อน กับแท่นชาร์จ 1 อัน และมีคำสั่งที่ 142/2543 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ให้ยึดทรัพย์สินของนางศุจีมาศไว้ชั่วคราวอีกหนึ่งรายการ คือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลยทะเบียน บง 1291 มหาสารคาม จำนวน 1 คัน ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 และนางศุจีมาศจำนวน 7 รายการ ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของจำเลยที่ 3 และนางศุจีมาศโดยไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกตรวจสอบไม่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและเป็นทรัพย์สินที่อยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต จึงมีคำสั่งที่ 162/2543 ลงวันที่ 22 กันยายน 2543 ให้ยึดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินทั้ง 7 รายการดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2535 มาตรา 3, 15, 22, 27, 29, 31
ศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติดและเป็นเจ้าของทรัพย์สินตามคำร้องซึ่งได้มาโดยสุจริตจากการทำมาหาได้ร่วมกันพอควรแก่ฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพ ไม่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดผู้ร้องยื่นคำร้องล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกคำร้องและสั่งคืนทรัพย์สินทั้ง 7 รายการแก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้ริบเงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 101 – 24540 -7 เงินฝากในบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ ธนาคารออมสิน สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 07 – 5101 – 20 – 104665 -4 เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 409 – 0 – 00619 – 8 และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน บง – 1291 มหาสารคาม จำนวน 1 คัน ของผู้คัดค้าน และริบเงินสด จำนวน 80,000 บาท รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน กข – 1459 กาฬสินธุ์ จำนวน 1 คัน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโนเกีย หมายเลข 01 – 2601745 จำนวน 1 เครื่อง พร้อมแบตเตอรี่จำนวน 1 ก้อน กับแท่นชาร์จ จำนวน 1 อัน ของจำเลยที่ 3 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของดาบตำรวจสุนัน แสนแก้ว จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4801/2543 หมายเลขแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้นซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ความผิดต่อพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์สินตามคำร้องทั้ง 7 รายการ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของจำเลยที่ 3 และผู้คัดค้าน จึงมีคำสั่งที่ 162/2543 ลงวันที่ 22 กันยายน 2543 ให้ยึดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 มีปัญหาต้องวินิจฉัยในเบื้องแรกตามฎีกาของผู้คัดค้านว่าการยึดหรืออายัดทรัพย์สินรายนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ โดยผู้คัดค้านฎีกาว่าคดีอาญาหมายเลยดำที่ 4801/2543 หมายเลยแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 นั้น คดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนั้นทรัพย์สินทั้ง 7 รายการที่ถูกยึดหรืออายัดไว้ในคดีนี้จึงสิ้นสุดลง และต้องคืนทรัพย์สินทั้ง 7 รายการให้ผู้คัดค้าน เห็นว่า พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง…” ดังนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานตามเอกสารท้ายฎีกาของผู้คัดค้านโดยผู้ร้องมิได้โต้แย้งคัดค้านว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 5052/2545 อันเป็นที่สุดให้ยกฟ้องดาบตำรวจสุนัน แสนแก้ว จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงมีผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และคดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงฎีกาข้ออื่นของผู้คัดค้านอีกต่อไป แต่เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านและของจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี คงมีแต่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเพียงผู้เดียวโดยจำเลยที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีตามกระบวนการแห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 28, 29 แม้ผู้คัดค้านจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 แทนได้ ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง และให้คืนทรัพย์สินของผู้คัดค้านตามคำร้อง 4 รายการ คือเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 101 – 1 – 24540 – 7 เงินฝากในบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษธนาคารออมสิน สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 07 – 5101 – 20 – 104665 – 4 เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 409 – 0 – 00619 – 8 และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน บง 1291 มหาสารคาม แก่ผู้คัดค้าน.