คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1515/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ให้ซึ่งเป็นมารดาผู้รับพูดกับผู้รับว่า อย่าขายที่นาพิพาทเลย ผู้รับกลับเถียงว่านาของกู จะขาย จะทำไม มึงยกให้กูแล้ว อีแม่หมาๆ อีดอกทอง เมื่อไหร่มึงจะตาย ดังนี้ถือได้ว่าผู้รับได้ประพฤติเนรคุณ โดยหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ผู้ให้มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากผู้รับได้แล้ว
การเพิกถอนการให้ด้วยเหตุประพฤติเนรคุณนั้น ผู้ให้ชอบที่จะเรียกถอนการให้ได้นับแต่วันทราบเหตุเนรคุณ ภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 533 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หากผู้รับได้โอนกรรมสิทธิ์ ที่นาพิพาทให้บุคคลอื่นซึ่งได้รับโอนโดยไม่สุจริต ผู้ให้มีสิทธิขอเพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา237 โดยถือว่าผู้ให้อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายต้องเสียเปรียบจากการที่ผู้รับผู้เป็นลูกหนี้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทนั้นไป

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่นาให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา ต่อมาจำเลยได้ประพฤติเนรคุณหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทคืนให้โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกล่าวคำก้าวร้าวล่วงเกินโจทก์ ทั้งจำเลยได้โอนขายที่นาพิพาทให้นายปั่น มะลิขาว ไปแล้ว จำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่นาพิพาท ขอให้ยกฟ้อง

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าโจทก์จะยื่นคำฟ้องเรียกที่นาคืนตามสำนวนแรก จำเลยที่ 1 กลับรีบโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 2 ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องสำนวนแรกหนึ่งวันการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่นาพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้ และไม่ใช่เจ้าของนาพิพาท การโอนที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 2 โจทก์ก็ทราบไม่คัดค้านประการใด การทำสัญญาซื้อขายได้กระทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต เปิดเผย มีค่าตอบแทน จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์เรียกนาคืนจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องห้ามไม่ให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่นาพิพาท และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้ง และฟังว่าโจทก์ยกที่นาพิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา แต่ไม่เชื่อว่าจำเลยกับสามีด่าหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งไม่เชื่อว่าจำเลยทั้งสองลักลอบทำการโอนโดยมีพนักงานเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ ฟังไม่ได้ว่าการโอนที่นาพิพาทเป็นการฉ้อฉล พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่นาพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 1 โอนที่นาคืนให้โจทก์

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทราบจากนางจันทร์ว่า จำเลยที่ 1 จะขายที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 2 โจทก์จึงได้ไปที่บ้านของนางจันทร์แล้วตามจำเลยที่ 1 มาพบจำเลยที่ 1 มากับนายภูสามี โจทก์พูดกับจำเลยที่ 1 ว่า อย่าขายที่นาพิพาทเลย จำเลยที่ 1 ก็เถียงว่า นาของกู กูจะขาย จะทำไม มึงยกให้กูแล้ว อีแม่หมา ๆ อีดอกทอง เมื่อไหร่มึงจะตาย ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่มีเหตุเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531

ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าโจทก์พยายามขัดขวางไม่ให้จำเลยทั้งสองโอนที่นาพิพาทแก่กัน แต่ไม่เป็นผล พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทไว้เช่นนี้ แม้จะมีค่าตอบแทนเป็นการซื้อขายหรือโอนตีใช้หนี้ก็ตาม จะถือว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนไว้โดยสุจริตไม่ได้ เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิเพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 ทั้งนี้เพราะนิติกรรมการให้โดยเสน่หา เป็นมูลก่อตั้งสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ให้และผู้รับ และการเพิกถอนการให้ด้วยเหตุเนรคุณนั้น ผู้ให้ชอบที่จะเรียกถอนการให้ได้นับแต่วันทราบเหตุเนรคุณภายในอายุความดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 533 ถือได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายต้องเสียเปรียบจากการที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 2 ไป

พิพากษายืน

Share