แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านที่เช่าจากโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย ย่อมนอกประเด็นข้อต่อสู้ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟัง
จำเลยทำสัญญาเช่าในนามตนเองเป็นผู้เช่า จำเลยจะนำสืบ(พยานบุคคล) ว่าทำสัญญาเช่าแทนคนอื่นหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข)
ทำสัญญาเช่าบ้านภายหลังพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504ใช้บังคับ แม้เป็นการเช่าอยู่อาศัยก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๐๘ จำเลยทำสัญญาเช่าบ้าน(โกดัง) ของโจทก์ มีกำหนด ๑ ปี ใช้เก็บของในกิจการค้า ครบกำหนดแล้วเช่าต่อมาโดยไม่มีสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยไม่ยอมออกขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าบ้านเป็นที่อยู่อาศัย ความจริงเช่ามานานตั้งแต่ครั้งบิดาโจทก์ยังอยู่ เพิ่งเปลี่ยนเป็นชื่อจำเลยเป็นผู้เช่าเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม๒๕๐๘ จำเลยได้รับความคุ้มครอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย และบ้านพิพาทเป็นเคหะควบคุม จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๓๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การสู้คดีว่า “ความจริงบ้านหลังนี้ได้เช่าโจทก์มานานตั้งแต่ครั้งบิดาของโจทก์ยังอยู่ เพิ่งเปลี่ยนเป็นชื่อจำเลยเป็นผู้เช่าเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๐๘” ไม่มีข้อความตอนใดเลยที่จะแสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดว่าจำเลยสู้คดีว่าจำเลยทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลยที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยทำสัญญาเช่าหมาย จ.๑๙ หรือ ล.๕ แทนบิดาจำเลยจึงนอกประเด็นข้อต่อสู้ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟัง นอกจากนั้นตามสัญญาเช่าหมาย จ.๑๙ หรือ ล.๕ ปรากฏว่าจำเลยทำสัญญาเช่าในนามตนเองเป็นผู้เช่าจำเลยจะนำสืบว่าทำสัญญาเช่าแทนคนอื่นไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ (ข) เมื่อจำเลยรับว่าทำสัญญาเช่ากับโจทก์เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๐๘ อันเป็นเวลาหลังพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ ใช้บังคับแม้ เป็นการเช่าอยู่อาศัยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
ส่วนค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน