แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,60,68,69 ให้จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า โดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,60, และ 72 ให้จำคุก 2 ปี เช่นนี้ เป็นการพิพากษาแก้มาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17/2515)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2510 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนยิงนางนฤมลและนายธรรมนูญ ชะโลปถัมภ์หลายนัด ได้รับบาดเจ็บปรากฏตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง โดยจำเลยมีเจตนาฆ่านางนฤมลและนายธรรมนูญจำเลยลงมือกระทำผิดโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของนางนฤมลและนายธรรมนูญ และแพทย์รักษาทันท่วงที นางนฤมลและนายธรรมนูญจึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลย เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า นางนฤมลใช้ท่อนเหล็กตีจำเลยก่อนจำเลยจึงยิงนางนฤมลเพื่อป้องกันไม่ให้นางนฤมลใช้ท่อนเหล็กตีจำเลยอีก แต่นางนฤมลมีบาดแผลที่ต้นไหล่กระสุนปืนค้างด้านหลังและนายธรรมนูญมีบาดแผลที่หน้าท้องและแขนซ้าย จำเลยได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ แล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 ประกอบด้วยมาตรา 68, 69 ให้จำคุกจำเลย 3 ปี
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยยิงนางนฤมลเพราะความหึงหวง ไม่ใช่เพื่อป้องกัน ขอให้ลงโทษจำเลยไปตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยยิงนางนฤมลเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุขอให้ยกฟ้องถ้าศาลอุทธรณ์ฟังว่าเกินสมควรแก่เหตุ ก็ขอให้ลงโทษจำเลยให้น้อยลง และขอให้รอการลงโทษจำเลยไว้ด้วย
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่านางนฤมลใช้ท่อนเหล็กตีจำเลยก่อน การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน แต่นางนฤมลก่อเหตุขึ้นก่อนได้ไล่จำเลย เอาด้ามไม้กวาดขว้างไปทางจำเลย และด่าประจานจำเลยด้วยคำที่หยาบคายรุนแรงไม่สมควรจำเลยสุดที่จะทนได้ จำเลยจึงบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้วพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุกจำเลย 2 ปี ข้อที่จำเลยขอให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายเป็นอาวุธปืนลูกไม่ บรรจุกระสุนได้ถึง 8 นัด และจำเลยยิงผู้เสียหายถึง 5 นัด จึงไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำเลยไว้
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยิงนางนฤมลเพราะความหึงหวง ไม่ใช่เพื่อป้องกันและไม่ใช่เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ขอให้ลงโทษจำเลยไปตามฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า จำเลยยิงขู่ยิงเดาไปในที่มืดและจำเลยยิงนางนฤมลเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ขอให้ยกฟ้อง ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยยิงนางนฤมลโดยบันดาลโทสะ ขอให้วางโทษให้น้อยลงอีกและขอให้รอการลงโทษจำเลยไว้
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 60, 68, 69 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60, 72 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี มีปัญหาว่า คู่ความจะฎีกาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาปัญหาข้อนี้โดยที่ประชุมใหญ่แล้วมีมติว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงถูกนางนฤมลและนายธรรมนูญโดยมีเจตนาฆ่า
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 ให้วางโทษจำคุกจำเลย 10 ปีแล้วลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้จำคุกจำเลย 5 ปี และให้ยกฎีกาจำเลย