แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจาก ป. ครบกำหนด ป. ไม่ไถ่คืนที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทจำเลยอ้างว่าได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทมาก่อนโจทก์รับซื้อฝากที่ดินจาก ป.แล้ว แต่ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจาก ป. ผ่อนชำระเป็นงวด ระหว่างผ่อนชำระ ป.ถึงแก่ความตายเสียก่อน จำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างโจทก์กับ ป. โจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่มีบทกฎหมายกำหนดไว้ว่าผู้รับซื้อฝากที่ดินจะต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างผู้ขายฝากกับบุคคลอื่นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์รับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับ ป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของ ว. ซึ่งขณะนั้นจำเลยได้อาศัยปลูกโรงอยู่หลังหนึ่ง เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๒ ว.ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้ ป. ต่อมาวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๒๓ ป.ขายฝากที่ดินแปลงนี้ไว้แก่โจทก์มีกำหนด ๑ ปี ครั้นครบกำหนด ป.ไม่ได้ไถ่ถอน ที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไป จึงฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อบ้านเรือนออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องอีก
จำเลยให้การและฟ้องว่าจำเลยไม่เคยอาศัย ว. ปลูกบ้านอยู่อาศัยเดิมที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๗๖ วาเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งเป็นของ พ. พ.และบริวารได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยภายในที่ดินพิพาทมาก่อน ต่อมา ว. ได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่ทั้งแปลงจาก พ. โดยสัญญาว่าจะแบ่งแยกที่ดินตรงที่ พ.และบริวารปลูกบ้านอยู่ออกจากโฉนดใหญ่เป็นอีกโฉนดหนึ่งต่างหากแล้วจะโอนคืนให้ พ.ภายหลัง แต่เมื่อ ว.ได้แบ่งแยกโฉนดเสร็จแล้วกลับนำโฉนดที่ดินพิพาทไปโอนขายให้ ป. ต่อมาวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจาก ป. ในราคาตารางวาละ ๔๐๐ บาท กำหนดชำระเป็นงวด งวดละเดือน เดือนละ ๔๐๐ บาท จำเลยได้ผ่อนชำระราคาให้ ป. เรื่อยมา จนกระทั่ง ป.ถึงแก่ความตาย จึงไม่ได้ชำระอีก เพราะไม่ทราบว่าทายาทผู้รับมรดกเป็นใคร โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยและพวกได้ปลูกบ้านเรือนอยู่บนที่ดินพิพาท และทราบว่าจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจาก ป.ก่อนแล้ว สัญญารับซื้อฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ ป.จึงไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นการซื้อขายโดยไม่สุจริตและจดทะเบียนโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง และขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีหน้าที่รับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ให้โจทก์รับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือเป็นงวด ๆ ตามสัญญา แล้วให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านเรือนออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจาก ป. ครบกำหนดขายฝาก ป.ไม่ไถ่คืนที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทมาก่อนโจทก์รับซื้อฝากที่ดินจาก ป.แล้ว แต่ต่อมาในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจาก ป. ผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ ๔๐๐ บาท ยังค้างชำระอีก ๓๓ งวด ป.ก็ถึงแก่ความตายเสียก่อน มีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์จะต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับ ป.โดยรับเงินค่าที่ดินที่ค้างเป็นงวด ๆ และจำเลยมีสิทธิเอาที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์ได้หรือไม่พิเคราะห์แล้วที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์รับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับ ป.ต่อไปนั้นเห็นว่า จำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างโจทก์กับ ป.เข้ามาด้วย โจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่มีบทกฎหมายกำหนดไว้ว่าผู้รับซื้อฝากที่ดินจะต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างผู้ขายฝากกับบุคคลอื่น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งกับโจทก์ดังกล่าวได้
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะไปฟ้องแย้งขอเพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างโจทก์กับ ป.ต่อไป