คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาฟ้องว่า โจทก์ซี่งเป็นสามีทิ้งร้าง ขอให้ศาลพิพากษาให้หย่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ โจทก์จะมารื้อร้องฟ้องให้หย่าจากกันอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะอ้างมูลเหตุใด ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นสามีภริยากันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ ได้นำจำเลยที่ ๓ มาทำชู้สมสู่อยู่กินกับจำเลยที่ ๒ โดยเปิดเผย ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ ๒ และให้จำเลยที่ ๒ คืนสินเดิม ๑๕,๐๐๐ บาท สินสมรส ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายที่โจทก์เสียเกียรติยศที่จำเลยที่ ๒ ทำชู้อีก ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ได้หย่าขาดจากกันแล้ว โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ตอนสมรสต่างฝ่ายต่างไม่มีสินเดิม จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้เป็นชู้กันโจทก์ไม่เสียหาย โจทก์ฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ว่าจำเลยเคยฟ้องโจทก์และศาลพิพากษาให้หย่า คดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ไม่ปรากฏว่า โจทก์มีสินเดิม ส่วนสินสมรสโจทก์ได้ตกลงแบ่งกับจำเลยที่ ๒ แล้ว และไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๓ ทำชู้กับจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นสามีภริยากัน ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา ขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาโดยกล่าวหาว่าโจทก์จงใจทิ้งร้างไปเกิน ๑ ปี ศาลพิพากษาให้หย่าคดีถึงที่สุด เมื่อศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดและให้หย่าจากกัน โจทก์จะมารื้อร้องฟ้องให้หย่าจากกันอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะอ้างมูลเหตุใด ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘ ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อที่โจทก์เรียกค่าเสียหายฐานจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ เป็นชู้กัน และข้อเท็จจริงก็ฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้มอบเงินกองทุน ๑๕,๐๐๐ บาท ในระหว่างสมรสอันเป็นสินเดิมดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ส่วนสินสมรสข้อเท็จจริง ก็ฟังได้ว่าแบ่งกันไปแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share