คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปเก็บไว้ที่โกดังของบริษัทอื่นซึ่งมิใช่สถานที่ประกอบธุรกิจของโจทก์อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 นั้นเมื่อบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีดังกล่าวถูกเพลิงไหม้ โจทก์จะอ้างเอาเหตุอันเนื่องจากการฝ่าฝืนกฎหมายของโจทก์มาเป็นเหตุที่ไม่อาจส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบตามหมายเรียกหาได้ไม่ และเมื่อสำเนาเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งให้เจ้าพนักงานประเมินไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิของโจทก์เพื่อประเมินภาษีได้ เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจประเมินโดยอาศัย ป.รัษฎากร มาตรา 71(1).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการขายหมู ได้จัดทำเอกสารทางบัญชีต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนถูกต้อง แต่ได้เกิดเพลิงไหม้สถานที่ที่โจทก์ใช้เป็นทีเก็บเอกสารบัญชี ทำให้บัญชีและเอกสารหลักฐานดังกล่าวถูกเพลิงไหม้ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกตรวจสอบการเสียภาษีของโจทก์ โจทก์ได้ส่งเอกสารเท่าที่มีอยู่ให้เจ้าพนักงานประเมินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 71 (1) สั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ รวมค่าภาษีเป็นเงิน 9,647,047 บาท โดยอ้างเหตุผลว่าโจทก์ไม่สามารถนำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีมาให้ตรวจสอบได้ครบถ้วน สำเนาเอกสารบางส่วนที่นำไปมอบให้นั้นไม่เพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิได้ โจทก์ได้อุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจที่จะประเมินตามมาตรา 71 (1)เพราะการที่โจทก์ไม่สามารถส่งเอกสารได้ก็เพราะเหตุสุดวิสัย ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานการค้าของโจทก์ แต่ปรากฏว่าโจทก์นำไปเก็บไว้ที่บริษัทอื่น โดยมิได้แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมินทราบล่วงหน้าตามมาตรา 83 ตรี โจทก์มิได้แสดงหรือแจ้งว่ามีเอกสารที่เกี่ยวข้องอยู่บ้าง และเจตนาจะส่งให้เจ้าพนักงานตรวจสอบแต่อย่างใดเอกสารที่โจทก์ส่งมาไม่เพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิของกิจการโจทก์ได้จึงจำเป็นต้องทำการประเมินตามมาตรา 71 (1) โจทก์จะอ้างเอาการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายมาเป็นเหตุสุดวิสัยว่าไม่อาจส่งบัญชีและเอกสารให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบหาได้ไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าการประเมินภาษีอากรโจทก์โดยอาศัยมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากรไม่ชอบ โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ส่งบัญชีเอกสารให้เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ เนื่องจากบัญชีเอกสารถูกเพลิงไหม้ และโจทก์ได้ส่งเอกสารให้เจ้าพนักงานประเมินบางส่วนซึ่งเพียงพอจะประเมินโดยวิธีอื่นได้นอกจากนี้ไม่ได้ประเมินตามวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรได้วางไว้เห็นว่าเหตุประการแรกที่โจทก์ว่าไม่ต้องส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี เนื่องจากถูกเพลิงไหม้ ปรากฏว่าบริษัทโจทก์ดำเนินกิจการจำหน่ายพ่อแม่หมูพันธุ์อันเป็นธุรกิจขายสินค้าที่จะต้องจัดทำบัญชีตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 เรื่องการบัญชีโจทก์ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ประกอบธุรกิจนั้น ถ้าจะเก็บรักษา ณ สถานที่อื่นโจทก์ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะต้องขออนุญาตต่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชี ดังที่กำหนดไว้ในข้อ 13 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนั้น มิฉะนั้นมีความผิดต้องรับโทษ การที่โจทก์นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปเก็บไว้ที่โกดังของบริษัทนครหลวงฟาร์ม จำกัดซึ่งมิใช่สถานที่ประกอบธุรกิจของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวเมื่อเกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้บัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่นำไปเก็บไว้ถูกเพลิงไหม้ โจทก์จะอ้างเอาเหตุอันเนื่องจากการฝ่าฝืนกฎหมายของโจทก์มาเป็นเหตุที่ไม่อาจส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบตามหมายเรียกหาได้ไม่
เหตุประการที่สองโจทก์อ้างว่า โจทก์ได้ส่งเอกสารให้เจ้าพนักงานประเมินบางส่วนซึ่งเพียงพอจะประเมินวิธีอื่นได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำเบิกความของนางวัฒนาเกิดหล้า เจ้าพนักงานของจำเลยซึ่งเป็นผู้ไต่สวนเพื่อเรียกเก็บภาษีรายนี้เบิกความว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นางสาวสุจินดา ลินมาชวดี มาให้ถ้อยคำเพื่อจะทราบว่าโจทก์ประกอบกิจการค้าอะไรบ้าง นางสาวสุจินดา ไม่ได้นำเอกสารทางบัญชีไปมอบให้แต่อ้างว่าถูกเพลิงไหม้หมด ต่อมาได้ไต่สวนนางสาวสุจินดาอีกนางสาวสุจินดา ได้มอบสำเนาบันทึกประจำวันที่แจ้งว่าเอกสารทางบัญชีถูกเพลิงไหม้ ต่อมานางวัฒนาได้มอบเรื่องให้เจ้าพนักงานคนอื่นดำเนินการต่อไป ซึ่งปรากฏจากคำเบิกความของนางสาวสมจิตรโรจน์รุ่งสัตย์ ที่ดำเนินการไต่สวนต่อว่า ได้ติดต่อกับผู้รับมอบอำนาจของโจทก์เพื่อขอเอกสารทางบัญชีหลายครั้ง ได้รับแจ้งว่าถูกเพลิงไหม้หมดคงได้รับแบบที่โจทก์ยื่นต่อกรมสรรพากร คือ ภ.ง.ด.1กหักภาษี ณ ที่จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือน แต่ไม่ตรงกับค่าใช้จ่ายเงินเดือนที่โจทก์ลงไว้ในงบค่าใช้จ่ายอื่นประกอบแบบ ภ.ง.ด.50ทั้งดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่โจทก์ยื่นไว้ในแบบ ภ.ง.ด. 50 ไม่ตรงกับที่โจทก์ยื่นเสียภาษีการค้าเจ้าพนักงานไม่สามารถประเมินได้ จึงได้ยุติเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายและรายรับเกี่ยวกับดอกเบี้ยให้กู้ยืมส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ประเมินตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ไม่เห็นด้วย และได้นำเอกสารทางบัญชีบางส่วนเป็นดอกเบี้ยตั๋วเงินบางส่วนที่รับ สำเนาบัญชีเดินสะพัด บัญชีลูกหนี้เดินสะพัด บัญชีลูกหนี้รายตัวทั้งยังขอผัดส่งเอกสารอีก เมื่อถึงกำหนดก้ได้ส่งสำเนาเอกสารต่าง ๆ ปรากฏว่าไม่มีรายละเอียดข้อเท็จจริงหรือเอกสารใด ๆ ประกอบ มีแต่เพียงตัวเลข เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเอกสารทั้งหมดของโจทก์ไม่พอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิได้ จากคำพยานของจำเลยดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่พยายามที่จะส่งเอกสารทางบัญชีให้เจ้าพนักงานประเมินเอง เพียงแต่แจ้งว่าถูกเพลิงไหม้หมด จนผลสุดท้ายเมื่อเจ้าพนักงานประเมินจะทำการประเมินตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากรจึงได้ส่งสำเนาเอกสารต่าง ๆ แต่คงมีแต่ตัวเลขไม่มีรายละเอียดเพียงพอจะหากำไรสุทธิของโจทก์ได้แม้แต่นางสาวสุจินดาลินมาชวดี พยานโจทก์ก็เบิกความรับว่าเอกสารที่โจทก์ส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานประเมินนั้น ตามหลักบัญชียังไม่สามารถเชื่อถือได้ว่ามีค่าใช้จ่ายตามที่โจทก์แจ้งและไม่เพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิของโจทก์ประจำปีภาษีนั้น ๆ เห็นได้ชัดว่าเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งให้เจ้าพนักงานประเมินไม่เพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิเพื่อประเมินภาษีได้ เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินโดยอาศัยมาตรา 71 (1)แห่งประมวลรัษฎากรชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share