คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ในเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามประเด็น เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน เป็นคำแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยมีเงื่อนไข เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบต้องให้คู่ความสืบพยานต่อไป จึงไม่ต้องด้วยเงื่อนไขที่โจทก์แถลงต่อศาล โจทก์ย่อมนำพยานเข้าสืบตามประเด็นได้
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องหน้าที่นำสืบที่ว่าเป็นหน้าที่จำเลยต้องนำสืบก่อนให้ได้ความตามข้อต่อสู้ ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยกล่าวถึงวิธีพิจารณาที่ควรจะเป็นสำหรับรูปคดี ไม่ใช่คำชี้ขาดในคดี ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอในคำฟ้องอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ ๒ แปลง ถ้าที่ดินนั้นติดถนนซึ่งจะตัดผ่านยาว ๔ เส้น ถ้าไม่ติดแนวถนนเช่นว่าจำเลยที่ ๑ ยอมคืนเงินมัดจำและยอมใช้เบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีก ๑ เท่าของมัดจำ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อมาปรากฏว่าที่ดินไม่ติดแนวถนนที่จะก่อสร้าง จำเลยทั้งสองไม่คืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญา จึงขอให้บังคับให้ใช้พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่าทำสัญญากันจริง แต่โจทก์ชำระมัดจำให้จำเลยรับมาเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท โดยได้ทำหลักฐานการชำระเงินให้จำเลยไว้ส่วนหนึ่ง จะชำระให้ครบ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาเมื่อได้รับแจ้งจากกรมทางหลวงแผ่นดินว่าที่ดินอยู่ในแนวถนน ๔ เส้นเสียก่อน หากไม่อยู่ในแนวจำเลยจะคืนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้และให้ถือว่าไม่มีความประสงค์จะซื้อขายที่ดินกันต่อไป ต่อมาปรากฏว่าที่ดินไม่อยู่ในแนวถนน ๔ เส้น สัญญาจึงสิ้นผล โจทก์มีสิทธิเรียกคืนเฉพาะมัดจำที่มอบให้จำเลยเท่านั้น ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นกะประเด็นข้อพิพาทว่า
๑. จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ทำให้โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยทั้งสองกับเรียกมัดจำคืนหรือไม่
๒. จำเลยรับเงินมัดจำจากโจทก์ไว้จำนวนเท่าใด ให้โจทก์นำสืบก่อน
วันสืบพยานโจทก์คู่ความแถลงรับกันว่า สัญญาจะซื้อจะขายท้ายฟ้องถูกต้อง ไม่มีการซื้อขายที่ดินกันเพราะถนนไม่ตัดผ่าน ไม่ใช่เพราะจำเลยไม่ยอมขาย แต่คู่ความตีความหมายในสัญญาไม่ตรงกัน ขอให้ศาลตรวจดูสัญญาแล้ววินิจฉัยไปโดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นด้วยในประเด็นข้อ ๑ ส่วนประเด็นข้อ ๒ ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามคำให้การ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔
จำเลยคัดค้านว่าจำเลยมีสิทธินพยานเข้าสืบ
โจทก์แถลงว่า เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามประเด็นข้อ ๒ โจทก์ก็ไม่ติดใจสืบพยานในประเด็นข้อนี้
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าประเด็นข้อ ๑ จำเลยไม่ผิดสัญญา ประเด็นข้อ ๒ แม้จำเลยจะไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ แต่หน้าที่นำสืบตกอยู่แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงฟังได้เพียงเท่าที่จำเลยยอมรับพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับ ส่วนเรื่องเงินมัดจำนั้น ถ้าเป็นดังที่จำเลยให้การแล้ว ก็เท่ากับว่าได้มีการตกลงทำสัญญาอีกฉบับหนึ่งแก้ไขสัญญาเดิมเกี่ยวกับการวางเงินมัดจำ ซึ่งไม่ใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ เป็นหน้าที่จำเลยต้องนำสืบก่อนให้ได้ความตามข้อต่อสู้ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานในประเด็นข้อนี้ไม่ถูกต้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเฉพาะในประเด็นเรื่องจำนวนเงินมัดจำที่จำเลยที่ ๑ จะต้องคืนให้โจทก์ แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์สืบพยานก่อน โจทก์ไม่ค้าน ต่อมาโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ประเด็นข้อ ๒ โดยไม่ได้คัดค้านหน้าที่นำสืบที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ศาลอุทธรณ์จึงไม่ต้องกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานก็ต้องฟังว่าจำเลยได้รับเงินมัดจำไว้เพียง ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานนั้น โจทก์ได้แถลงกำหนดเงื่อนไขไว้ด้วยว่า โจทก์จะไม่ขอสืบพยานในเมื่อศาลเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามประเด็นข้อ ๒ ด้วย ก็เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ ต้องให้คู่ความสืบพยานกันต่อไปเช่นนี้จึงไม่ต้องด้วยเงื่อนไขที่โจทก์แถลงต่อศาล คำแถลงของโจทก์ที่จะไม่สืบพยานจึงเป็นอันเสียเปล่า โจทก์ย่อมนำสืบพยานตามประเด็นข้อ ๒ ได้ ส่วนปัญหาที่ว่าศาลอุทธรณ์กล่าวถึงหน้าที่นำสืบว่าจำเลยต้องสืบก่อนเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่นั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปในประเด็นข้อ ๒ ใหม่ก็โดยเห็นว่า การงดสืบพยานไม่ชอบโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๑) และ (๒) เท่านั้น คำวินิจฉัยในเรื่องหน้าที่นำสืบเป็นเพียงกล่าวถึงวิธีพิจารณาที่ควรจะเป็นสำหรับรูปคดีเช่นนี้ ไม่ใช่คำชี้ขาดในคดี จึงไม่ใช่การพิพากษาคดีเกินคำขอในคำฟ้องอุทธรณ์ดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน

Share