คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบริษัทจำกัดอยู่ที่ประเทศอังกฤษ จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในประเทศไทย ซ.ผู้แทนโจทก์ติดต่อกับจำเลยที่1ตกลงซื้อขายปอกันซ. และจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบปริมาณและราคาที่จะขาย โจทก์มีหนังสือยืนยันมายังจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งส่งสัญญาซื้อขายมาด้วย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อในฐานะผู้ขาย โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตส่งมาแต่ล่าช้าและผิดพลาด จำเลยที่ 1จึงไม่ลงชื่อในสัญญาซื้อขาย การซื้อขายปอระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ครั้งก่อน ๆต้องทำเป็นหนังสือทุกครั้ง พฤติการณ์ที่ปฏิบัติกันในการซื้อขายปอรายพิพาทเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะให้สัญญาซื้อขายมีผลผูกพันกันเมื่อได้ทำหนังสือแล้ว จำเลยที่ 1 ยังมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายจึงถือไม่ได้ว่าสัญญาซื้อขายได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 366 สัญญาซื้อขายยังไม่มี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศอังกฤษ จำเลยที่ 1เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาตกลงจะขายปอกับโจทก์สองครั้งรวม 400 ตัน จำเลยมิได้ส่งปอตามกำหนด ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงค่าเสียหายจำเลยก็ไม่ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด โจทก์ได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการของสมาคมปอแห่งกรุงลอนดอน ในที่สุดอนุญาโตตุลาการ (ชั้นที่สุด)ได้ตัดสินให้โจทก์ชนะ และมีคำสั่งให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมทั้งค่าปรับตามสัญญาและดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายโจทก์ จำเลยไม่ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายปอกับโจทก์ โจทก์จำเลยยังไม่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเพราะโจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตล่าช้าและผิดพลาด คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะยังไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ทั้งจำเลยที่ 1 มิได้เป็นสมาชิกของสมาคมปอแห่งกรุงลอนดอน ฯลฯ การที่โจทก์ฟ้องคดีทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ต้องเสียค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์จำเลยยังมิได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เคยซื้อปอจากจำเลยที่ 1มาก่อน การซื้อขายปอกระทำโดยผ่านทางผู้แทนของโจทก์ที่กรุงเทพมหานครส่วนการตกลงซื้อขายเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1 การซื้อขายปอรายพิพาททั้งสองคราวนายโซราเรียผู้แทนของโจทก์เป็นผู้ติดต่อกับจำเลยที่ 1ได้ตกลงซื้อขายปอกันรวม 400 ตัน นายโซราเรียและจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบถึงปริมาณปอและราคาที่จะขาย โจทก์มีหนังสือยืนยันปริมาณและราคาปอมายังจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งส่งสัญญาซื้อขายมาด้วย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายในฐานะผู้ขาย และโจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารเนชั่นแนลแอนด์กริมเลส์ กรุงลอนดอน ส่งมายังธนาคารอินโดจีน จำกัดแต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขาย การซื้อขายปอระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ครั้งก่อน ๆ ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือทุกครั้ง พฤติการณ์ที่ปฏิบัติกันในการซื้อขายดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะให้สัญญาซื้อขายมีผลผูกพันกัน เมื่อได้ทำเป็นหนังสือแล้ว การที่นายโซราเรียและจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบถึงปริมาณและราคาปอที่จะซื้อขาย โจทก์มีหนังสือยืนยันมาเป็นเพียงการเจรจาตกลงกันในหลักการที่จะซื้อขายกันเท่านั้น เหตุที่จำเลยที่ 1ปฏิเสธไม่ยอมลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายเพราะโจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตล่าช้าและผิดพลาด จำเลยแจ้งให้ธนาคารอินโดจีน จำกัด ทราบว่าไม่ใช้เลตเตอร์ออฟเครดิต และได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถรับเลตเตอร์ออฟเครดิตได้เนื่องจากโจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตล่าช้า ไม่สามารถหาสินค้าและเรือบรรทุกสินค้าได้ทันตามกำหนด ขอให้เจรจากันใหม่ จำเลยที่ 1 ชอบที่จะปฏิเสธได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขาย จึงถือไม่ได้ว่าสัญญาซื้อขายได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 สัญญาซื้อขายยังไม่มี โจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายไม่ได้

พิพากษายืน

Share