คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีประกาศฉบับที่ 11/2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง แต่ได้รับรองอำนาจของศาลว่า ยังคงมีอำนาจดำเนินการพิจารณาและพิพากษาอรรถคดี ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนจำเลย อันเป็นกรณีจำเลยถูกออกจากตำแหน่งหรือสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจำเลยสิ้นสุดเพราะเหตุที่จำเลยได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 111 ซึ่งตามนัยมาตรา 92 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งใช้บังคับขณะนั้น จำเลยย่อมตกอยู่ในบังคับมาตรา 92 ตอนท้าย ที่บัญญัติว่า กรณีที่ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะเหตุที่ผู้นั้นได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้คืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นก่อนที่ผู้นั้นได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว แม้ต่อมาจะมีประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงก็ตาม แต่มูลหนี้ที่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย เกิดขึ้นในขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีผลใช้บังคับ โดยไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายยกเว้นไว้และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ยกเลิกมูลหนี้ที่เกิดขึ้น จำเลยจึงต้องคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นทั้งหมดที่จำเลยได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว และเมื่อจำเลยเป็นผู้ขอให้โจทก์แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลยและผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัวจำเลย ซึ่งเป็นสิทธิของจำเลยที่ได้มาระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งและเป็นประโยชน์แก่จำเลย ดังนี้ เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่บุคคลที่จำเลยขอให้โจทก์แต่งตั้ง จึงมีลักษณะเป็นประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่จำเลยได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่ง จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลย และเงินค่าตอบแทนผู้ช่วยดำเนินงานของจำเลยแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,337,565.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,256,540.84 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายเท่ากับจำนวนเงินประจำตำแหน่งที่จำเลยได้รับจากโจทก์ เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินแก่โจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 มีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 จำเลยอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งและคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 763,964.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 มกราคม 2553) ต้องไม่เกิน 81,025.07 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นเท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนด ค่าทนายความ 7,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อปี 2550 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2550 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 จำเลยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 หมายเลข 13 พรรคพลังประชาชน คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศผลการเลือกตั้งในวันที่ 18 มกราคม 2551 ให้จำเลยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2550 แต่ก่อนที่จะประกาศผลการเลือกตั้ง มีผู้ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสอบสวนแล้วปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยกับพวกมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้มีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 ใหม่แทนจำเลย ต่อมาวันที่ 11 กันยายน 2551 ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนจำเลย ตามสำเนาคำสั่งศาลฎีกา อันมีผลให้สมาชิกภาพในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจำเลยสิ้นสุดลง ระหว่างที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ โจทก์แต่งตั้งนางสาวเพชรลดา ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2551 นางสาวเทียนทอง ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เป็นต้นไป เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลย และแต่งตั้งนางสาวเทียนทอง ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 20 เมษายน 2551 นายชัยรัตน์ ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2551 นายวิชาญ นายวีระโชติ และนางกษมา ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2551 เป็นต้นไป เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัวจำเลย ระหว่างจำเลยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2550 เดือนสิงหาคม 2551 โจทก์ได้จ่ายเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มให้แก่จำเลยเป็นเงิน 763,964.84 บาท เงินค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลย 126,451 บาท และเงินค่าตอบแทนผู้ช่วยดำเนินงานของจำเลย 366,125 บาท รวมเป็นเงิน 1,256,540.84 บาท วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนเงินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องชดใช้เงินค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญประจำตัวและเงินค่าตอบแทนผู้ช่วยดำเนินงานคืนแก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยขอให้โจทก์แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลยและผู้ช่วยดำเนินงานของจำเลย โจทก์จ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่บุคคลดังกล่าวสืบเนื่องจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจำเลย เป็นประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ต้องคืนแก่โจทก์ และมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องชดใช้เงินประจำตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีประกาศฉบับที่ 11/2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง แต่ได้รับรองอำนาจของศาลว่า ยังคงมีอำนาจดำเนินการพิจารณาและพิพากษาอรรถคดี ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนจำเลย อันเป็นกรณีจำเลยถูกออกจากตำแหน่งหรือสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจำเลยสิ้นสุดเพราะเหตุที่จำเลยได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 111 ซึ่งตามนัยมาตรา 92 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ใช้บังคับขณะนั้น จำเลยย่อมตกอยู่ในบังคับมาตรา 92 ตอนท้าย ที่บัญญัติว่า กรณีที่ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะเหตุที่ผู้นั้นได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้คืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นก่อนที่ผู้นั้นได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว แม้ต่อมาจะมีประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงก็ตาม แต่มูลหนี้ที่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย เกิดขึ้นในขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีผลใช้บังคับ โดยไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายยกเว้นไว้และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ยกเลิกมูลหนี้ที่เกิดขึ้น จำเลยจึงต้องคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นทั้งหมดที่จำเลยได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยต้องคืนเงินประจำตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเงินเพิ่ม 763,964.84 บาท จึงชอบแล้ว และเมื่อจำเลยเป็นผู้ขอให้โจทก์แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลยและผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัวจำเลย ซึ่งเป็นสิทธิของจำเลยที่ได้มาระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งและเป็นประโยชน์แก่จำเลย ดังนี้ เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่บุคคลที่จำเลยขอให้โจทก์แต่งตั้ง จึงมีลักษณะเป็นประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่จำเลยได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่ง จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลย 126,451 บาท เงินค่าตอบแทนผู้ช่วยดำเนินงานของจำเลย 366,125 บาท แก่โจทก์ด้วย รวมเป็นเงิน 1,256,540.84 บาท เมื่อโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552 อันเป็นวันผิดนัด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นนี้ว่าจำเลยไม่ต้องคืนเงินค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญประจำตัวจำเลยและเงินค่าตอบแทนผู้ช่วยดำเนินงานของจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,256,540.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 มกราคม 2553) ต้องไม่เกิน 81,025.07 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share