แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิจารณาว่าจะอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาได้หรือไม่เพียงใดนั้น ศาลต้องพิจารณาสาระสำคัญ 2 ประการคือ ประการแรก คดีของโจทก์มีมูลที่จะฟ้องร้องหรือไม่ โดยพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องนั้น มีข้อโต้แย้งสิทธิอันมีมูลที่โจทก์จะฟ้องจำเลยได้หรือไม่ ยังไม่ต้องพิจารณาว่าข้อที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้นเป็นจริงหรือไม่ เพราะเป็นข้อที่จะนำสืบพิสูจน์กันในชั้นพิจารณาคดี ประการที่สองศาลต้องไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้จริงหรือไม่เพียงใด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 155 และ 156 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17
โจทก์ฟ้องโดยสรุปว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม เนื่องจากโจทก์มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร โดยขายในนามห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่โจทก์เป็นหุ้นส่วนอันเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ขายที่ดินในนามห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล แต่ต่างคนต่างขายและไม่ได้ขายโดยมีเจตนาเพื่อเป็นทางค้าหรือหากำไรซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้า ทั้งผู้ซื้อได้ตกลงชำระค่าภาษีทั้งหมดแทนโจทก์และชำระภาษีให้แก่จำเลยไปครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีตามที่จำเลยประเมิน ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำฟ้อง โจทก์ย่อมไม่ต้องเสียภาษีในการขายที่ดินครั้งนี้อีก การประเมินภาษีดังกล่าวย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อศาลภาษีอากรกลางไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วได้ความว่าโจทก์และผู้มีชื่อในโฉนดอื่นไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน และต่างคนต่างขายที่ดินส่วนของตน คดีโจทก์จึงมีมูลที่จะฟ้อง การที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องจึงไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้หรือไม่เพียงใด
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า อ้างว่าโจทก์เป็นคณะบุคคลจำนวน 6 คน มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าหรือหากำไร แต่มิได้ยื่นแบบชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มดังกล่าว โดยประเมินภาษีไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือเป็นหุ้นส่วนในคณะบุคคล โจทก์ขายที่ดินให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในนามตนเอง ไม่ได้ขายในนามห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล โดยที่ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการค้าหรือหากำไร อีกทั้งการขายที่ดินของโจทก์นั้น บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตกลงเสียภาษีและค่าธรรมเนียมทั้งหมดแทนโจทก์ซึ่งก็ได้เสียไปครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่เจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว แต่ให้ลดเบี้ยปรับลงบางส่วน ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าว โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาต่อศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งศาลภาษีอากรกลางทำการไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดค่าภาษีตามที่จำเลยประเมิน คดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง จึงให้ยกคำร้อง หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายในวันที่ 30 เมษายน 2546
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีของโจทก์มีมูลและโจทก์ยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในศาลภาษีอากรกลาง อันมีเหตุสมควรอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาได้หรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาว่าจะอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาหรือไม่เพียงใดนั้น ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาสาระสำคัญ 2 ประการ คือประการแรก ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาว่าคดีของโจทก์มีมูลที่จะฟ้องร้องหรือไม่ โดยพิจารณาว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องนั้น มีข้อโต้แย้งสิทธิอันเป็นมูลที่โจทก์จะฟ้องจำเลยได้หรือไม่ ยังไม่จำต้องพิจารณาว่าข้อที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้นเป็นจริงหรือไม่ เพราะเป็นข้อที่จะต้องนำสืบพิสูจน์กันในชั้นพิจารณาคดี ประการที่สองศาลชั้นต้นต้องทำการไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้จริงหรือไม่ เพียงใด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ใน ป.วิ.พ. มาตรา 155 และ 156 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์ฟ้องโดยสรุปว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม เนื่องจากโจทก์มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีเจตนาเป็นทางการค้าหรือหากำไร โดยขายในนามห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่โจทก์เป็นหุ้นส่วนอันเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เนื่องจากโจทก์ได้ขายที่ดินให้แก่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยต่างคนต่างขายไม่ได้ขายในนามห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล และไม่ได้ขายโดยมีเจตนาเพื่อเป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษีการค้า อีกทั้งบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตกลงชำระค่าภาษีทั้งหมดแทนโจทก์ และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ชำระภาษีให้แก่จำเลยแทนโจทก์ไปครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่จำเลยประเมิน ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เห็นว่า หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่ต้องเสียภาษีในการขายที่ดินครั้งนี้อีก การที่จำเลยประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีกนั้น ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อศาลภาษีอากรกลางไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์แล้วได้ความว่าโจทก์และผู้มีชื่อในโฉนดอื่นไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน และต่างคนต่างขายที่ดินส่วนของตน คดีจึงมีมูลที่โจทก์จะฟ้อง ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจึงเห็นควรย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในศาลภาษีอากรกลางจริงหรือไม่ เพียงใด แล้วพิจารณาสั่งตามรูปคดีต่อไป
พิพากษายกคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางฉบับวันที่ 22 เมษายน 2546 ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณารับฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความ แล้วพิจารณาสั่งตามรูปคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.