คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7338/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ประกอบธุรกิจประกันภัยไม่ใช่สถาบันการเงินที่จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบ ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 41,710,815.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 32,900,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากไม่พอให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยมาชำระจนครบถ้วน
จำเลยให้การว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ใช่ลายมือชื่อนายปรีชา และนายหาญ แต่เป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฉ้อฉลจำเลยโดยร่วมกับบุคคลอื่นหลอกลวงจำเลยให้ลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินโดยจำเลยไม่เคยได้รับเงินและไม่เคยเห็นสัญญากู้ยืมเงินมาก่อน โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เพราะอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินและในสัญญาจำนองขัดกัน และข้อตกลงในส่วนของดอกเบี้ยโจทก์ก็กำหนดขึ้นเองเพียงฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ได้ตกลงด้วยจึงตกเป็นโมฆะ ทั้งประกาศกระทรวงการคลังตามฟ้องก็ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จึงใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกเก็บค่าเสียหายในการบังคับจำนองในอัตราร้อยละ 5 ของต้นเงินที่ค้างชำระเพราะข้อตกลงดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์กำหนดขึ้นเองโดยจำเลยมิได้ตกลงด้วยและเป็นจำนวนที่สูงเกินความเป็นจริง หากโจทก์จะเสียหายก็ไม่เกินจำนวน 5,000 บาท การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้ระบุให้จำเลยเข้าใจว่าหากจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วโจทก์จะบังคับจำนอง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองจากโจทก์ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาจำนองยังไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 32,900,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.25 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 และในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 90 ถึง 92 และ 94 ตำบลแก่งกระจาน (สองพี่น้อง) กิ่งอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากได้เงินไม่พอชำระให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยมาชำระจนกว่าจะครบ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เพราะจำเลยไม่ได้ตกลงด้วยหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ระบุอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์หากจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาไว้ชัดแจ้งว่า ร้อยละ 19 ต่อปี ข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ตกลงด้วยจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ประกอบธุรกิจประกันภัยไม่ใช่สถาบันการเงินที่จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 10,000 บาท แทนโจทก์.

Share