คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 นำสืบเอกสารปลอมที่มีสารสำคัญว่า โจทก์ทำเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินสร้างตึกพิพาทแล้วลงชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อแทน จำเลยที่ 1 ต้องการที่ดินเมื่อใด โจทก์จะโอนโฉนดให้ ข้อความดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแปลงสิทธิของโจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิ และเป็นเอกสารที่มีความสำคัญเกี่ยวไปถึงการสร้างตึกแถวพิพาทและการทำสัญญาเช่าตึกแถว ทำให้โจทก์เสียหาย เป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268
เพียงแต่การอ้างบุคคลอื่นเป็นพยาน พยานจะเบิกความอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของพยาน. ถ้าหากพยานเบิกความเท็จจะฟังว่าผู้อ้างพยานกระทำการนั้นร่วมกับพยานด้วยหาได้ไม่ ผู้อ้างพยานจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งไม่ประทับฟ้องในข้อหาฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265นั้น หมายความว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 265. มิได้หมายความว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 265 ด้วย ในกรณีเช่นนี้ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 แล้ว วางกำหนดโทษไปโดยไม่อ้างถึงมาตรา 265 ก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ก.จำเลยสมคบกับผู้อื่นกรอกข้อความลงในช่องว่างของแบบฟอร์มสำหรับยื่นเรื่องราวต่อทางการเทศบาลหรือราชการ ซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์ลงไว้แล้วเหนือลายมือชื่อโจทก์ ความว่า ตึกบุญจิราธรเงินที่ซื้อเป็นของจำเลยที่ 1 แต่โฉนดลงชื่อโจทก์ไว้ โจทก์จึงทำหนังสือนี้เป็นหลักฐานและยินยอมให้จำเลยที่ 1 โอนโฉนดคืนได้ทุกเวลาที่ต้องการ เงินห้าแสนที่โจทก์ช่วยสร้างตึกยกให้จำเลยที่ 1 ส่วน เงินกู้อีกห้าแสนบาท โจทก์ยกเว้นไม่เอาดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ จำเลยเจตนาจะใช้เอกสารสิทธิทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์

ข. จำเลยที่ 1 ได้อ้างเอกสารในข้อ ก.เป็นพยานต่อศาลแพ่งในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6629/2510 นำสืบในข้อสำคัญของคดีว่า ทรัพย์สินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าเอกสารนั้นปลอม

ค. จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานต่อศาลแพ่งในคดีที่กล่าวในข้อ ข. เป็นเท็จว่าโจทก์มอบเอกสารในข้อ ก. ให้จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 1 เก็บไว้เป็นหลักฐาน จำเลยที่ 2 ได้เบิกความเท็จดังกล่าวในข้อสำคัญของคดีต่อศาลแพ่ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 180, 264, 265, 268, 83, 84

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องข้อ ข. และ ค. ฟ้องข้อ ก. ไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การว่า เอกสารที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่เป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดี คำพิพากษาของศาลแพ่งไม่ได้วินิจฉัยถึงเอกสารนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 เบิกความ โจทก์ไม่ถามค้านเพื่อทำลายความเชื่อถือเอกสารนั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 265 มาตรา 177 ให้ลงโทษตามมาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 265 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามมาตรา 91 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 177 จำคุก 1 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ตาย ศาลอุทธรณ์จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 แล้วพิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความในเอกสารหมาย ล.241 มีสารสำคัญว่าโจทก์ทำเป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินที่สร้างตึกพิพาทแล้วลงชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อแทน จำเลยที่ 1 ต้องการที่ดินเมื่อใดโจทก์จะโอนโฉนดคืนให้ ข้อความดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแปลงสิทธิของโจทก์ในโฉนดที่ดินที่สร้างตึกพิพาท เอกสารนี้จึงเป็นเอกสารสิทธิ มีความสำคัญเกี่ยวไปถึงการสร้างตึกแถวที่พิพาทกันและการทำสัญญาเช่าตึกแถว ทำให้โจทก์เสียหาย เป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ต้องระวางโทษตามมาตรา 265

ในข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 เบิกความเท็จนั้นคดีได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 อ้างจำเลยที่ 2 เป็นพยาน แล้วจำเลยที่ 2 เบิกความเท็จเท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 อ้างจำเลยที่ 2 เป็นพยาน จำเลยที่ 2 จะเบิกความอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับการกระทำของจำเลยที่ 2 จะฟังว่าจำเลยที่ 1 อ้างจำเลยที่ 2 มาเป็นพยานได้กระทำการนั้นร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยหาได้ไม่ จำเลยที่ 1ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ

ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 265 กับความผิดฐานใช้เอกสารตามมาตรา 268 เป็นความผิดคนละฐาน เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 1 ทำผิดฐานใดแต่เพียงฐานเดียว ก็ลงโทษได้ ตามมาตรา 268 วรรคต้น วางกำหนดโทษให้ผู้ใช้เอกสารสิทธิปลอมต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 265 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 265 มิได้หมายความว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 265 ด้วย ซึ่งในกรณีเช่นนี้ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 แล้ววางกำหนดโทษไป โดยไม่อ้างถึงมาตรา 265 ก็ได้

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคต้น ให้จำคุกหนึ่งปี แต่สมควรให้รอการลงโทษไว้ตามมาตรา 56 ภายใน 2 ปี ข้อหาฐานเบิกความเท็จให้ยก

Share