คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686-1689/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทโดยทางราชการจัดสรรให้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 30 และได้รับใบจองแล้วแม้จำเลยจะได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 ให้ถือว่าจำเลยมีเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินนั้นแล้ว สิทธิของจำเลยหากจะดีกว่าผู้อื่นทั่วๆไป ก็หาอาจใช้ยันโจทก์ผู้ได้รับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้วไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่พิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้ง ๔ สำนวนฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ประมาณคนละ ๑๓ ถึง ๑๕ ไร่ โดยได้รับจากการจัดสรรของทางราชการให้เป็นที่ทำกิน และได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว จำเลยได้บุกรุกที่ของโจทก์ทุกแปลงเดิมที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณะ นายอุยสามีจำเลยที่ ๑ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วกับจำเลยที่ ๒ ได้บุกรุกเข้าครอบครอง พนักงานเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ออกไปก็ไม่ปฏิบัติตามจึงถูกฟ้องศาล และศาลพิพากษาว่านายอุยและจำเลยที่ ๒ บุกรุกที่สาธารณะ มีความผิดโจทก์เข้าทำกินในที่พิพาทไม่ได้เพราะจำเลยขัดขวาง โจทก์อาจหาประโยชน์หรือให้ผู้อื่นเช่าที่พิพาทได้เดือนละไม่น้อยกว่า ๑๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยและบริวารห้ามมิให้เกี่ยวข้องขัดขวางสิทธิของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ ๑ และนายอุยกับจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันบุกเบิกที่ดินมีเนื้อที่ ๘๐ ไร่เศษ ได้เข้าทำกินโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาไม่เคยละทิ้ง โจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องโต้แย้ง จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครอง แม้เมื่อจำเลยที่ ๒ กับนายอุยถูกฟ้องฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วก็ตามจำเลยทั้งสองกับนายอุยก็ยังคงครอบครองทำกินในที่ดินดังกล่าวแล้วตลอดมา ยังหาขาดสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินไม่ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลย หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะโจทก์ไม่เคยเข้ายึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทเลย แม้ทางราชการจะได้จัดสรรที่ดินให้แก่โจทก์ ก็หาทำให้โจทก์เกิดมีสิทธิครอบครองหรือสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทไม่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเรื่องการครอบครองประเด็นเดียวและสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทโจทก์ยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาท และเห็นว่าระหว่างราษฎรด้วยกันจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้ง ๔ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตสั่งให้จัดสรรประกาศจับสลากให้แก่ราษฎรจำเลยที่ ๒ กับนายอุยได้ครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนการจัดสรรแต่ไม่ได้แจ้งการครอบครองภายในกำหนดเวลา และไม่ได้รับการผ่อนผันให้แจ้งในภายหลัง ถือว่าจำเลยที่ ๒ และนายอุยเจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาทแล้ว รัฐมีอำนาจจัดที่พิพาทได้ โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้ได้รับใบจองจากทางราชการ แล้วต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์อีก โจทก์ได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๓๐ แล้ว โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยรัฐจัดให้มีใบจองเข้าครอบครองย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย การที่จำเลยละเมิดสิทธิครอบครองโจทก์นั้นฟังได้ว่าโจทก์เสียหายพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้ง ๔ สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทุกคนได้รับใบจองจากอำเภอและได้เข้าครอบครองที่พิพาทแล้ว ในปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งทางราชการจัดสรรให้พวกโจทก์ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๓๐ แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ เพราะโจทก์ได้รับและเข้าถือสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๓๐ แล้วแม้ว่าจำเลยจะได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทอยู่แล้วก็ตาม สิทธิของจำเลยเช่นนั้น แม้หากจะดีกว่าผู้อื่นทั่ว ๆ ไปก็ตาม แต่ก็หาอาจใช้ยันโจทก์ผู้ได้รับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้วได้ไม่ แม้จำเลยจะได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้วแต่ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๕ ได้บัญญัติให้ถือว่าจำเลยได้มีเจตนาสละสิทธิครอบครองแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ฯลฯ
พิพากษายืน

Share