แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กระทงละ 1,800 บาท จำเลยที่ 4 อายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 76 ให้ปรับ กระทงละ 900 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ฉะนั้น ความผิดฐานนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ส่วนข้อหาความผิดของจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ กระทงละ 900 บาท จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยที่ 4 จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ (4) จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยในข้อหาความผิดนี้จึงเป็นการไม่ชอบ
ที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยรับฟังลงโทษไม่ได้นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 4 ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 เพราะถือว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 นำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำนวน 172 เม็ด และฟังว่าจำเลยที่ 4 นำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำนวน 15 เม็ด ซึ่งแตกต่างจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันนำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำนวน 187 เม็ด ก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ก็ยังคงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ทั้งยังกำหนดโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย กรณีจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ซึ่งต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12 (1), 18 วรรคสอง, 62 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 65, 66, 91, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ จำนวน 172 เม็ด และจำนวน 15 เม็ด ตามลำดับ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคสอง และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2)), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 4 อายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นคนไทยเดินทางออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้ปรับกระทงละ 1,800 บาท จำเลยที่ 4 ให้ปรับกระทงละ 900 บาท ฐานร่วมกันนำเข้าและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 4 ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1 และที่ 2 รวมลงโทษประหารชีวิต และปรับคนละ 3,600 บาท จำเลยที่ 3 รวมปรับ 3,600 บาท จำเลยที่ 4 รวมจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,800 บาท คำให้การของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (ที่ถูก 52 (1)), 53 จำเลยที่ 1 และที่ 2 คงจำคุกคนละตลอดชีวิตและปรับคนละ 2,400 บาท จำเลยที่ 3 คงปรับ 2,400 บาท จำเลยที่ 4 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 1,200 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานนำเข้าและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2)), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่นำสืบรับกันฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่และตรวจค้นยึดได้เมทแอมเฟตามีน จำนวน 172 เม็ด จากกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 1 กับยึดได้เมทแอมเฟตามีนอีกส่วนหนึ่ง จำนวน 15 เม็ดจากกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 4 เช่นกัน รวมยึดได้เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสิ้น จำนวน 187 เม็ด น้ำหนัก 17.099 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.822 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ สำหรับข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้ตามฟ้อง และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดนี้ ซึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์ ความผิดของจำเลยทั้งสี่ในข้อหาความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามข้อกล่าวหาของโจทก์จึงเป็นอันยุติลงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนข้อหาความผิดฐานเดินทางออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง และ 62 วรรคสอง ปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กระทงละ 1,800 บาท จำเลยที่ 4 อายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้วให้ปรับจำเลยที่ 4 กระทงละ 900 บาท ข้อหาความผิดฐานนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และข้อหาความผิดฐานนี้ของจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 4 กระทงละ 900 บาท จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยที่ 4 จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (4) จำเลยที่ 4 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยในข้อหาความผิดฐานนี้ของจำเลยที่ 4 มาจึงเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกาโต้แย้งว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง และ 62 วรรคสอง ไม่ได้นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้น และต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 4 ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 4 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับข้อหาความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำนวน 187 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 3 นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อหาความผิดฐานนี้สำหรับจำเลยที่ 3 ตามข้อกล่าวหาในคำฟ้องของโจทก์ย่อมเป็นอันยุติลง ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีน จำนวน 187 เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 นำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำนวน 172 เม็ด และฟังว่าจำเลยที่ 4 นำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำนวน 15 เม็ด แตกต่างจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันนำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำนวน 187 เม็ด ก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ก็ยังคงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ทั้งยังกำหนดโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย กรณีจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ซึ่งต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้ของโจทก์มาจึงเป็นการไม่ชอบตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมนำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีนจำนวน 187 เม็ด ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 นำเข้าเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำนวน 172 เม็ด และจำนวน 15 เม็ด ตามลำดับหรือไม่เท่านั้น เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อเท็จจริงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นไปตามลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์อย่างสมเหตุผล นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทเกรียงศักดิ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความสนับสนุนว่า ในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ก็ให้การรับสารภาพเช่นเดียวกับในชั้นจับกุม อีกทั้งยังได้ร่วมกันนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้พยานได้ถ่ายรูปไว้ และบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วย และทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าทั้งเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมของพันตำรวจตรีเกษมและพันตำรวจโทเกรียงศักดิ์ พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกคนจะมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยคนหนึ่งคนใด แต่กลับปรากฏว่าต่างเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงไปตามหน้าที่ราชการที่พยานโจทก์แต่ละคนได้ปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีข้อพิรุธสงสัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันสร้างพยานหลักฐานขึ้นปรักปรำให้ร้ายแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้ต้องรับโทษหรือได้รับโทษเกินกว่าความเป็นจริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเชื่อถือได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่นั่งเรือข้ามฟากมาจากฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามายังฝั่งประเทศไทยที่ริมแม่น้ำโขงบริเวณท่าน้ำบ้านสองคอน และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำนวน 172 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 1 และเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกส่วนหนึ่ง จำนวน 15 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 4 ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมนำเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมด จำนวน 187 เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ซึ่งปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ขณะตรวจค้นจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน จำนวน 172 เม็ด ที่ตัวจำเลยที่ 1 และตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอีกส่วนหนึ่ง จำนวน 15 เม็ด ที่ตัวจำเลยที่ 4 ส่วนที่ตัวจำเลยที่ 2 ไม่มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยวินิจฉัยให้เหตุผลว่า เมื่อผลการตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 ไม่พบว่าจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองด้วย โจทก์จึงต้องมีพยานหลักฐานมานำสืบยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 คบคิดหรือวางแผนร่วมกันอย่างไร และต้องนำสืบขยายความให้ได้ว่าเหตุใด จำเลยที่ 1 จึงครอบครองเมทแอมเฟตามีนผู้เดียวจำนวนมากถึง 172 เม็ด แต่จำเลยที่ 4 ครอบครองไว้เพียง 15 เม็ด ในขณะที่จำเลยที่ 2 กลับไม่ได้มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบเพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมของพันตำรวจตรีเกษมได้รับแจ้งจากสายลับถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ก็ดี การจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ได้พร้อมกันก็ดี คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็ดี ยังเป็นที่น่าสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 ต่างนำเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำนวน 172 เม็ด และจำนวน 15 เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักร และต่างมีเมทแอมเฟตามีนของกลางแต่ละจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเท่านั้น ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยมาแล้วนั้น เป็นคำวินิจฉัยที่ประกอบชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยและศาลฎีกาก็เห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานนำเข้าและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพราะจำนวนเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองมีปริมาณมากถึงจำนวน 172 เม็ด ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้อยู่ในตัวว่ามิใช่เป็นการมีไว้เพื่อเสพเองเป็นแน่แท้และแม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 187 เม็ด มีน้ำหนัก 17.099 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.822 กรัมเมื่อเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน จำนวน 187 เม็ด ของกลาง ซึ่งตามรายงานการตรวจพิสูจน์พบว่าเมทแอมเฟตามีน 187 เม็ดคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.822 กรัม และมีเมทแอมเฟตามีนของกลางเหลือจากการตรวจพิสูจน์ 16.091 กรัม จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำเอาเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนมาตรวจพิสูจน์หาปริมาณสารบริสุทธิ์ แล้วจึงนำผลที่ได้มาคำนวณหาปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลาง 187 เม็ด กรณีจึงคิดคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนจำนวน 172 เม็ด ดังกล่าวได้เช่นเดียวกันว่ามีปริมาณสารบริสุทธิ์ 3.515 กรัม จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง ดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง จำนวน 15 เม็ด เท่ากับจำนวน 15 หน่วยการใช้ จึงเข้าข้อสันนิษฐานเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) ที่ให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพิพากษาว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ทั้งนี้เพราะแม้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) จะบัญญัติให้ถือว่า การนำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป หรือจำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไป หรือมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไป เป็นการนำเข้าหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ข้อ 1. ง. โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำเข้าซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำนวน 187 เม็ด น้ำหนัก 17.099 กรัม อันมียาเสพติดที่มีสารเมทแอมเฟตามีนผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไป และมีปริมาณคำนวณเป็นสารเมทแอมเฟตามีนบริสุทธิ์หนัก 3.822 กรัม ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป มาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวมิได้บรรยายให้ปรากฏชัดว่า จำนวน 1 เม็ด ของเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเท่ากับ 1 หน่วยการใช้ เพราะโจทก์กล่าวมารวม ๆ ว่า จำนวน 187 เม็ด ของเมทแอมเฟตามีนที่นำเข้านั้นมีสารเมทแอมเฟตามีนผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไปเท่านั้น ทั้งเมทแอมเฟตามีนจำนวน 15 เม็ด เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน จำนวน 187 เม็ด ของกลางจึงสามารถคำนวณจำนวนน้ำหนักและปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวได้ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งจากการคิดคำนวณปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 15 เม็ด มีน้ำหนัก 1.371 กรัม ปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.306 กรัม การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงไม่เข้าบทสันนิษฐานของมาตรา 15 วรรคสาม (2) แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ที่จะถือว่าเป็นการนำเข้าและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 เมื่อโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 มีพฤติการณ์ว่าจะนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวนั้นมาเพื่อจำหน่ายให้แก่ใคร ที่ไหน และอย่างไร จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้นำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำนวน 15 เม็ด นั้นเพื่อจำหน่ายจริงตามฟ้อง คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 4 นำเข้าและมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 15 เม็ด นั้นไว้ในครอบครองเท่านั้น ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง แม้ว่าคดีนี้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานนำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนจำนวนตามฟ้องเพื่อจำหน่าย แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 4 นำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องเพียงบางส่วนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม แต่ความผิดตามฟ้องฐานนำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนทั้งจำนวนตามฟ้องเพื่อจำหน่ายย่อมรวมการกระทำความผิดฐานนำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนบางส่วนนั้นด้วยอยู่ในตัว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานนำเข้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนบางส่วนนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น จำเลยที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคหนึ่ง และมาตรา 67 โดยไม่ต้องปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 4 อายุกว่าสิบเจ็ดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปีเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) ประกอบมาตรา 53 ให้จำคุก 25 ปี คำให้การจำเลยที่ 4 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้จำเลยที่ 4 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน รวมกับโทษปรับ 1,200 บาท ในข้อหาความผิดฐานเป็นคนไทยเดินทางออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน และปรับ 1,200 บาท ส่วนโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4