แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดทำเพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหาย ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาฐานทำให้เพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหายมาแล้ว ศาลวินิจฉัยในคดีอาญาว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แม้โจทก์จะส่งคำให้การชั้นสอบสวนของพยานสองปากซึ่งในชั้นสอบสวนให้การรู้เห็นการกระทำผิดของจำเลย แต่ในชั้นศาล โจทก์ก็ไม่ได้ตัวมาสืบศาลจึงไม่รับฟังคำให้การชั้นสอบสวน เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน นอกจากนี้พยานประกอบแวดล้อมของโจทก์รับฟังได้เพียงว่าไฟได้ไหม้สวนยางของผู้เสียหายเท่านั้น ผู้เสียหายว่าได้พบจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยช่วยดับไฟด้วย จำเลยก็ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านผู้มีชื่อ เป็นการยันกันอยู่ พยานหลักฐานโจทก์จึงตกอยู่ในความสงสัยไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศางจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวซึ่งได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยและได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหาได้ไม่
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2512)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ จุดไฟเผาไม้แห้งและหญ้าที่จำเลยตัดถางกองไว้ในสวนจำเลย ไฟลุกลามเข้าสวนโจทก์ เป็นเหตุให้ยางพาราของโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิด
จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า กรณีนี้อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๕ (อัยการจังหวัดกระบี่) ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานให้เกิดความเสียหายเพลิงไหม้ต้นยางพาราในสวนของนายหมาด ทำศรี โจทก์เสียหาย ศาลมณฑลทหารบกที่ ๕ (ศาลจังหวัดกระบี่) พิพากษายกฟ้อง ดังปรากฏตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๐/๒๕๐๘
มีปัญหาว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ตามคำพิพากษาคดีอาญาแดงที่ ๑๐/๒๕๐๘ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๕ (ศาลจังหวัดกระบี่) ได้วินิจฉัยไว้ว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แม้โจทก์จะส่งคำให้การชั้นสอบสวนของนายว้า เพ็ชรสวัสดิ์ และนายชุ่ม ไขรอด ซึ่งในชั้นสอบสวน พยานสองปากนี้รู้เห็นการกระทำผิดของจำเลย แต่ในชั้นศาลโจทก์ไม่ได้ตัวมาสืบ ศาลจึงไม่รับฟังคำให้การชั้นสอบสวน เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน นอกจากนี้พยานประกอบแวดล้อมของโจทก์ก็รับฟังได้เพียงว่า ไฟได้ไหม้สวนยางของผู้เสียหายเท่านั้นผู้เสียหายว่าได้พบจำเลยในวันเกิดเหตุ โดยจำเลยช่วยดับไฟด้วย จำเลยก็ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านนายก้าหลี มัสการ จึงเป็นการยันกันอยู่ พยานหลักฐานโจทก์จึงตกอยู่ในความสงสัยไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้เป็นผลดีแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญานั้น ศาลได้สืบพยานโจทก์จำเลยและได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นของดคีแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฉะนั้น ในการพิพากษาคดีนี้เป็นคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ โดยต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ที่โจทก์นำสืบในคดีนี้ว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น ศาลจะรับฟังไม่ได้เพราะขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวแล้ว คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ยังไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยว่า
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์