คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลยนั้น โจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้น ต้องมิใช่คำตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเอง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 85/2484)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๓ เวลากลางคืน จำเลยนี้ได้ทุบกระเบื้องซิเมนต์อันเป็นฝากั้นห้องนอนที่อยู่อาศัยของนายสุรเดช ลีเลิศพงษ์ แตกเป็นช่องแล้วใช้มือล้วงลักเอาปืนยาวลูกกรดขนาด .๒๒ หนึ่งกระบอก กระสุนปืน ๓ นัดและซองบรรจุกระสุนปืน ๑ ซอง ของนายเท่งเก็งแซ่ลิ้มไป เหตุเกิดที่ตำบลคลองตัน อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔, ๓๓๕ ชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๓ ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ประกอบด้วยคำรับชั้นสอบสวนของจำเลย ซึ่งจำเลยต่อสู้ว่าได้มาด้วยการถูกตำรวจบังคับกับพยานประกอบซึ่งให้การแตกต่างขัดกันในข้อสำคัญรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ โดยวินิจฉัยว่า การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลยนั้น โจทก์ก็ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องมิใช่คำตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเอง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๕/๒๔๘๔ คดีนี้พยานประกอบของโจทก์คือนายสุรเดชกับเด็กหญิงแหม่ม ซึ่งนอกจากแตกต่างกันในข้อสำคัญแล้วยังรับฟังคำนายสุรเดชไม่ได้ด้วยทั้งตามคำรับจำเลยชั้นสอบสวนก็ไม่ประกอบคำนายสุรเดช โดยจำเลยให้การว่า จำเลยหยิบเอาปืนเดินหนีไปทางหลังบ้านนายสุรเดชได้เดินตามมาร้องเรียกให้หยุด จำเลยไม่ยอมหยุดแล้วเดินหนีไปแตกต่างกับคำนายสุรเดชที่อ้างว่าจำเลยวิ่งหนีไปทางหน้าบ้าน นายสุรเดชไม่ได้วิ่งไล่หรือเดินตามไปร้องเรียกจำเลยอย่างไร ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังคำนายสุรเดชคนเดียวว่าประกอบคำรับจำเลยชั้นสอบสวนแล้วลงโทษจำเลยศาลฎีกาไม่เห็นด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share