คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้เดิมไม่มีพะยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้กู้ ภายหลังจำเลยไปลงชื่อรับรองลายนิ้วมือ แล้วนำมาฟ้องแลเบิกความเท็จต่อศาลว่าลงชื่อรับรองต่อพะยานแลผู้กู้ดังนี้ มีผิดตาม ม.155 สัญญากู้เดิมไม่มีพะยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้กู้ ภายหลังจำเลยลงชื่อรับรองลายนิ้วมือแล้วนำมาฟ้องร้องแลอ้างเป็นสักขีพะยานต่อศาลใน+เวลาพิจารณาคดี มีผิดตาม ม.157 กระทำเอกสารพะยานเท็จแต่ยังไม่นำมาอ้างต่อศาลยังไม่มีผิดตาม ม.157 สัญญากู้เดิมไม่มีพะยานลงชื่อรับรองลายนิ้วมือผู้กู้แล้ว จำเลยมาเติมข้อความในสัญญาเลยลงลายมือจำเลย แล้วเขียนว่าพะยานดังนี้ มีผิดฐานปลอมหนังสือ สัญญากู้เป็นหนังสือสำคัญฎีกาอุทธรณ์ลงโทษไม่เกินคำขอโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานปลอมหนังสือตาม ม.223 ได้พิจารณาได้ความว่ามีผิดตาม ม.224 ดังนี้ ศาลลงโทษเพียงโจทก์ขอตามมาตรา 223

ย่อยาว

ได้ความว่าเดิมเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๒ โจทก์ได้ทำหนังสือกู้เงินไว้ให้แก่ จ.จำเลย โจทก์ได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในสัญญากู้โดยมีพะยานลงลายพิมพ์นิ้วมือรับรองแต่ผู้เดียว ต่อมาระวาง พ.ศ.๒๔๗๕ – ๒๔๗๖ พ.และ ข.จำเลยมาลงลายมือชื่อเป็นพะยานในสัญญากู้นี้ แล้ว จ.จำเลยจึงนำสัญญานี้มาฟ้องเรียกเงินจากโจทก์โดยจำเลยทั้ง ๓ ได้สาบานตัวเบิกความเท็จต่อศาลว่า พ.และ ข.ได้ลงลายมือชื่อเป็นพะยานต่อหน้าผู้กู้แลพะยาน โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.๒๒๒-๒๒๓-๒๒๔-๒๒๗-๑๕๕-๑๕๗-๖๓ และ ๗๑
ศาลเดิมพิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อหาเรื่องปลอมหนังสือและกระทำพะยานเท็จนั้น จำเลยได้กระทำไปโดยไม่มีอาชญาเจตนาแลเชื่อว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายยังไม่ควรมีผิดแต่เห็นว่าจำเลยมีผิดฐานเบิกความเท็จ จึงให้จำคุกจำเลยทั้ง ๓ คนละ ๔ เดือนตาม มาตรา ๑๕๕
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตาม ม.๑๕๗-๒๒๒ แล ๒๒๓ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จนั้น เป็นการชอบแล้ว เพราะว่าถ้าเป็นจริงว่า พ.แล ข.ได้ลงลายมือชื่อขณะกู้จริง สัญญานั้นก็ฟ้องร้องได้ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีอย่าง ๑ ข้อที่จำเลยคัดค้านว่าโจทก์ไม่ได้เสียหายนั้นเห็นว่าตามมาตรา ๑๕๕ มิได้กล่าวถึงการเสียหายแต่อย่างใด ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ นั้นเห็นว่า พ.แล ข.จำเลยได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ซึ่งใช้เป็นสักขีพะยานในข้อสำคัญแก่การพิจารณาคดีโดยจำเลยรู้อยู่ว่าการกระทำเช่นนั้น จะให้เสียความสัตย์จริงในคดี เมื่อ จ.จำเลยนำมาอ้างต่อศาล จ.จึงต้องมีผิดตามมาตรา ๑๕๗ ส่วน พ.และ ข.แม้ได้กระทำพะยานเท็จแต่มิได้นำมาอ้าง จึงยังไม่มีผิด
ส่วนการกระทำของ ข.และ พ.จะมีผิดฐานปลอมหนังสือด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่าการที่ พ. แล ข. ยังอาจลงลายมือชื่อของตนในสัญญากู้ คือมีบันทัดหนึ่งถัดบันทัดผู้กู้มีว่า “ลงลายมือ ชม พิน พยาน ” จึงเกิดเป็นข้อความอย่างหนึ่งขึ้นเข้าเกณฑ์แห่งมาตรา ๒๒๒(๒) พ.แล ข.จึงมีผิดตาม มาตรา ๒๒๓ โดยหนังสือนี้ได้ปลอมใช้เป็นหนังสือที่แท้จริง แลเห็นว่าสัญญากู้เป็นหนังสือสำคัญ แต่ฎีกาโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๒๔ จึงลงโทษเพียงโจทก์ขอจึงพิพากษาว่า จ.จำเลยมีผิดตาม ม.๑๕๗ อีกกะทงหนึ่ง รวมเป็นโทษ ๒ กะทงให้จำคุก ๘ เดือน พ.แล ข.จำเลยมีผิดตามมาตรา ๒๒๓ อีกกะทง รวมเป็นโทษ ๒ กะทงให้จำคุกจำเลยคนละ ๘ เดือน

Share