คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง บุกรุก ++
++ (ประชุมใหญ่)
++ จำเลยให้คนงานเข้าพักอาศัยในห้องพิพาทของโจทก์ร่วม โดยทำการรื้อฝาผนังห้องออกแล้วก่ออิฐบล็อกแทนกับทำพื้นห้องพิพาทใหม่ เป็นการเข้าครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วม เมื่อฟ้องระบุว่าจำเลยบุกรุกเข้าไประหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 ถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน แต่ทางพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเริ่มบุกรุกเข้าไปในห้องพิพาทของโจทก์ร่วมในเวลากลางวันหรือกลางคืน จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าจำเลยบุกรุกเข้าถือการครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วมในเวลากลางวัน การที่จำเลยครอบครองห้องพิพาทต่อมาเป็นผลของการบุกรุก ไม่ใช่ความผิดต่อเนื่องตราบเท่าที่จำเลยยังถือการครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 362 ไม่ใช่ความผิดตามมาตรา 365(3) ++

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ ถึงวันที่ ๑๐กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่หลบหนีร่วมกันบุกรุกเข้าไปในห้องแถวสองชั้นเลขที่ ๑๑๙/๖ และ ๑๑๙/๗ ตำบลในเมืองอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ของนายแจ้ง ดุจเพ็ญ ผู้เสียหาย โดยไม่มีเหตุอันสมควร เพื่อถือการครอบครองห้องดังกล่าวของผู้เสียหายทั้งหมดและเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๕, ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายแจ้ง ดุจเพ็ญ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๕ (๒) (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๒ ให้ลงโทษจำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ ให้ลงโทษจำคุก ๒ เดือน
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ห้องแถวสองชั้นเลขที่ ๑๑๙/๔, ๑๑๙/๕, ๑๑๙/๖ และ ๑๑๙/๗ ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒๓ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อโจทก์ร่วมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกห้องพิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ปลูกห้องแถวสองชั้นทั้งสี่ห้องและจำเลยเป็นผู้เช่าห้องเลขที่ ๑๑๙/๔ และ ๑๑๙/๕จากโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมได้ให้นายเทียมเช่าห้องพิพาทมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ จากนั้นให้คนอื่นเช่าอีกหลายคน นายชูชาติ แซ่ตั้ง เป็นผู้เช่าคนสุดท้ายโดยเช่าตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๒๙ต่อมาปี ๒๕๓๐ นายจิรวุฒิ บุตรโจทก์ร่วมจึงเข้าไปพักอาศัยจนปี ๒๕๓๓ ของโจทก์ร่วมและยังปรากฏอีกว่าห้องเลขที่ ๑๑๙/๔ (ที่ถูกน่าจะเป็นเลขที่ ๑๑๙/๔ และ ๑๑๙/๕)ร้านสง่ายนต์ของจำเลยเป็นผู้เช่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการ จึงรับฟังได้ว่านายชูชาติได้เช่าห้องพิพาท เมื่อจำเลยเช่าห้องเลขที่ ๑๑๙/๔ และ ๑๑๙/๕ ส่วนนายชูชาติเช่าห้องพิพาท ห้องเลขที่ ๑๑๙/๔ และ ๑๑๙/๕ ที่จำเลยเช่าและห้องพิพาทต่างมีบันไดขึ้นชั้นบนแยกต่างหากจากกันเป็นส่วนสัด การที่จำเลยให้คนงานของจำเลยเข้าไปพักอาศัยในห้องพิพาท ประกอบกับจำเลยได้รื้อถอนพื้นและฝาผนังห้องพิพาทของโจทก์ร่วมอันมีลักษณะส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องการถือครอบครองห้องพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วม จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกห้องพิพาท
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานบุกรุกเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๒หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ตราบใดที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในห้องพิพาทและอยู่ หรือให้บุคคลอื่นอยู่ในห้องพิพาทในนามของจำเลย ตราบนั้นจำเลยก็ยังคงมีความผิดฐานบุกรุกตลอดเวลาไม่ขาดตอน คือเป็นการบุกรุกทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๒นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยให้คนงานเข้าไปพักอาศัยตลอดจนจำเลยทำการรื้อฝาผนังห้องพิพาทออกแล้วก่ออิฐบล็อกแทน กับทำพื้นห้องพิพาทใหม่การกระทำของจำเลยเป็นเข้าไปถือการครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วมดังวินิจฉัยตามข้างต้น ซึ่งตามฟ้องระบุว่าจำเลยบุกรุกเข้าไประหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ถึงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน แต่ในทางพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเริ่มบุกรุกเข้าไปในห้องพิพาทของโจทก์ร่วมในเวลากลางวันหรือกลางคืน เมื่อเป็นดังนี้จึงให้ฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปถือการครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วมในเวลากลางวัน ซึ่งความผิดฐานบุกรุกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้าไปถือการครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วมแล้ว ส่วนการที่จำเลยครอบครองห้องพิพาทต่อมาเป็นเพียงผลของการบุกรุกเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นความผิดต่อเนื่องตราบเท่าที่จำเลยยังถือการครอบครองห้องพิพาทของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๒ ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๖๕ (๓)
พิพากษายืน.

Share