แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การใช้สิทธิ์ฟ้องร้องคดีแพ่งหรือคดีอาญานั้น ทำได้ไม่ถือว่าเป็นละเมิด แต่ต้องเป็นการฟ้องโดยมีเรื่องฟ้อง
จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาและแพ่ง ศาลตัดสินยกฟ้องโดยไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้น ยังไม่พอฟังว่า จำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือละเมิดต่อโจทก์
ค่าทนายชั้นศาลชั้นต้นติดตามทุนทรัพย์ในฟ้อง, ชั้นอุทธรณ์คิดตามทุนทรัพย์ที่อุทรธรณ์
ย่อยาว
เดิมนางเป่าจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนายสิทธิ์, นางตั๋น โจทก์ในคดีนี้หาว่ายักยอกทรัพย์ ศาลพิพากษายกฟ้อง นางเป่าจึงนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกทรัพย์คืน ศาลเดิมก็พิพากษายกฟ้องคดี โจทก์จึงได้ฟ้องนางเป่าเป็นจำเลยในคดีนี้เรียกค่าเสียหาย เนื่องจากนางเป่าได้ฟ้องนายสิทธิ์และนางตั๋นโจทก์เป็นคดีอาญา นางเป่าให้การว่าที่ฟ้องคดีอาญานั้น นางเป่าไม่มีเจตนาแกล้งให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด และโจทก์ก็ไม่เสียหาย นางเป่าได้ใช้สิทธิ์ทางศาลโดยสุจริต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ท้องเรื่องเป็นการพิพากกันในทางแพ่งโดยแท้ แต่จำเลยกล่าวมูลฟ้องหมุนพอให้เป็นคดีอาญาขึ้นเท่านั้น แม้จะไม่จงใจ ก็เป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๒๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาเห็นว่า โดยปรกติการฟ้องร้องคดีเป็นสิทธิ์ของบุคคลที่จะร้องขอความคุ้มครองจากศาล การฟ้องร้องในทางอาญาและแพ่งจะเรียกว่า เป็นการละเมิดหาได้ไม่ เพราะผู้นั้นใช้สิทธิ์ที่กฎหมายให้ไว้ การกระทำนั้นจึงไม่ใช่เป็นการผิดกฎหมาย แต่การที่กฎหมายให้สิทธิ์ฟ้องร้องนั้นต้องหมายความว่าให้ฟ้องได้เมื่อมีเรื่องคดีนี้ไม่ได้ความว่า จำเลยฟ้องโดยไม่มีเรื่อง เพราะตามคำพิพากษาคดีก่อน ๆ ไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง และการที่ศาลไม่ลงโทษในดคีก่อน ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยจำไม่มีเรื่องฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาคงเห็นด้วยกันศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนที่โจทก์ฎีกาค่าทนายความนั้นปรากฎว่าในศาลชั้นต้น โจทก์เรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๔๙๗ บาท ซึ่งอัตราค่าทนายความสำหรับศาลชั้นต้นมีถึง ๑๒๕ บาท เป็นคั่นสูง ในชั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาเห็นด้วยค่าสินไหมทดแทน ๒๐๐ บาท มีอัตราค่าทนายความ ๒๕ บาท เป็นคั่นสูง เมื่อรวม ๒ ศาลแล้ว ศาลอุทธรณ์ให้ค่าทนายความสำหรับศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นได้ถึง ๑๕๐ บาท ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ใช้จำเลยรวม ๒ ศาลเพียง ๗๕ บาท จึงไม่เกิน