คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1657/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 728 บัญญัติว่า “เมื่อจะบังคับจำนองนั้น ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อน…” มิได้บัญญัติว่า การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือ ฉะนั้นการที่โจทก์มอบอำนาจให้ ว. มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยจึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดให้การตั้งตัวแทนต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อ ว. ได้บอกกล่าวบังคับจำนองในนามของโจทก์และจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องคดี แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวบังคับจำนองของ ว. เป็นการบอกกล่าวของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้ให้สัตยาบันแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 823 วรรคหนึ่ง ถือว่าโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 775,768.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 662,739.73 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยครบรอบระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ให้นำดอกเบี้ยดังกล่าวทบเป็นต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จและหากจำเลยไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอ ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 595,780.82 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1124 ตำบลทุ่งสมอ (แคมป์สน) อำเภอเขาค้อ (หล่มสัก) จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน และหากไม่พอชำระให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนกว่าจะครบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าจำเลยต้องชดใช้เงินจำนวนตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.11 แก่โจทก์หรือไม่ และจำเลยจำนองที่ดินตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.8 ไว้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายจีรวุฒิ ปาลกะวงศ์ และนายถนอม ชาบำเหน็จ เบิกความยืนยันว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 500,000 บาท และได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 1496085 สัญญาจะใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ในวันที่ 26 มีนาคม 2540 โดยจำเลยได้จำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1124 ตำบลทุ่งสมอ (แคมป์สน) อำเภอเขาค้อ (หล่มสัก) จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันโดยเฉพาะนายถนอมลงลายมือชื่อเป็นพยานในบันทึกประกอบตั๋วสัญญาใช้เงิน เอกสารหมาย จ.7 สัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.9 และหนังสือขอรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.10 นายถนอมจึงรู้เห็นในการทำพยานเอกสารดังกล่าว จึงต้องฟังว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ทั้งไม่มีกฎหมายบังคับว่าในการรับฟังพยานเอกสารจำต้องมีพยานบุคคลมาประกอบ ดังนั้น แม้โจทก์ไม่ได้นำบุคคลผู้รู้เห็นในการทำเอกสารดังกล่าวมาเบิกความ ศาลก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นความจริงได้ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามจำนวนค่าแห่งตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.11 โดยจำเลยจำนองที่ดินเป็นประกันตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 บัญญัติว่า “เมื่อจะบังคับจำนองนั้น ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อน…” มิได้บัญญัติว่าการบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือ ฉะนั้น การที่โจทก์มอบอำนาจให้นายวิรัตน์ คำบุญมา มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยจึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดให้การตั้งตัวแทนต้องทำเป็นหนังสือ นายวิรัตน์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองในนามของโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องคดี แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวบังคับจำนองของนายวิรัตน์เป็นการบอกกล่าวของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้ให้สัตยาบันแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 วรรคหนึ่ง ถือว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share