คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะฟังได้ว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปปล้นทรัพย์ก็เป็นเพียงยานพาหนะซึ่งจำเลยขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุเมื่อการปล้นทรัพย์สำเร็จแล้ว รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14, 15 ริบรถของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรีที่แก้ไขแล้ว จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 10 ปี ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 3 และไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น เห็นว่า แม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปปล้นทรัพย์ ก็เป็นเพียงยานพาหนะซึ่งจำเลยที่ 3 ขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อการปล้นทรัพย์สำเร็จแล้วรถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 3 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share