คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายในหนี้อันเดียวกับที่ตนเป็นโจทก์ฟ้องคดีนั้น เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีถึงที่สุดโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นหักล้างคำสั่งและคำพิพากษาดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าลูกหนี้ต้องมีหน้าที่รับผิดในหนี้ตามที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องแล้ว
เมื่อเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวโดยอ้างเช็คอันเป็นหลักฐานตามฟ้อง พร้อมกับอ้างตนเองเป็นพยาน และนำบุคคลอื่นมาสืบประกอบทั้งในชั้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนคำขอรับชำระหนี้ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน เช่นนี้ คำขอรับชำระหนี้นั้นจึงมีหลักฐานรับฟังได้ว่าเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายได้

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นบุคคลล้มละลาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาแล้วเสนอความเห็นต่อศาลว่า ผู้ร้องได้ขอรับชำระหนี้เงินกู้ ๒ คราว รวมกันเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองร่วมกัน โดยมีหลักฐานแห่งหนี้เป็นเช็คสองฉบับ จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่เช็คทั้งสองฉบับไม่มีลายมื่อชื่อหุ้นส่วนผู้จัดการทั้งไม่นำพยานมาให้สอบสวนว่าจำเลยที่ ๑ ได้ใช้ตราประทับแทนการลงลายมือชื่อ หรือจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินไปใช้ในกิจการของห้างจำเลยที่ ๑ ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้รายนี้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้ลงลายมือชื่อในเช็ค จึงต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เป็นไปตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ได้แสดงออกให้คนภายนอกเข้าใจว่าได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการห้างและมีอำนาจลงชื่อในเช็คสั่งจ่ายเงินของห้างจำเลยที่ ๑ ทั้งเช็คและตราที่ประทับในเช็คก็เป็นของห้างจำเลยที่ ๑ การกู้เงินก็อยู่ในขอบเขตการค้าของจำเลยที่ ๑ พิพากษาแก้ อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามเช็ค ๒ ฉบับเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๑ อีกด้วย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ที่ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นหนี้จำนวนเดียวกันกับหนี้ที่ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลายนั่นเอง ในที่สุดศาลได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสอองเด็ดขาด และต่อมาก็ได้พิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลาย คดีถึงที่สุด เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นหักล้างคำสั่งและคำพิพากษานั้น ย่อมถือได้ว่าลูกหนี้ทั้งสองต้องมีหน้าที่รับผิดในหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว เมื่อเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองในหนี้รายเดียวกันโดยอ้างเช็คอันเป็นหลักฐานตามที่ฟ้องทั้งสองฉบับ พร้อมกับอ้างตนเองและบุคคลอื่นเป็นพยาน ทั้งในขั้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านเป็นอย่างอื่น ดังนี้ คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงมีหลักฐานรับฟังได้ว่า ผู้ร้องมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไปตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องสำหรับกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๑ จึงไม่ชอบ
พิพากษายืน ยกฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

Share