คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7908/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาพยานหลักฐานของศาลว่าได้ปฏิบัติเป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246
ตามบัญชีระบุพยานโจทก์ระบุว่า ต้นฉบับเอกสารหมาย จ.9 อยู่ที่ธนาคาร ก. การที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับ มาได้โดยประการอื่น ทั้งจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่าต้นฉบับไม่มีหรือสำเนาไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.9 ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน จำนวน ๑๔๕,๑๙๑.๔๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๑๔,๖๒๒.๕๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๒๔,๙๕๒.๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๑๔,๖๒๒.๕๒ บาท นับแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน ๖๔,๙๕๒.๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๕๔,๖๒๒.๕๒ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความ รวม ๔,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การที่จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าเอกสารหมาย จ.๙ มิใช่ต้นฉบับย่อมรับฟังไม่ได้ แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์และปัญหาดังกล่าวมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยเองจึงเป็นการ ไม่ชอบนั้น เห็นว่า ปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาพยานหลักฐานของศาลว่าได้ปฏิบัติเป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ต่อมาว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๙ หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้โดยอ้างเอกสารหมาย จ.๙ เป็นหลักฐานว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ซื้อสินค้าแต่ไม่นำส่งต้นฉบับเอกสารโดยมิได้แสดงให้ปรากฏว่า ต้นฉบับหาไม่ได้เพราะสูญหาย หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๓ (๒) จึงไม่อาจรับฟังเอกสารหมาย จ.๙ ได้ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ วรรคแรก นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๐ ของโจทก์ อันดับ ๔ ระบุว่า คำขอเรียกข้อมูลมาจากไมโครฟิลม์แสดงหลักฐานที่จำเลยใช้บัตร สลิปการซื้อขายที่ปรากฏลายมือชื่อจำเลย รับรองถูกต้องโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งตามบัญชีระบุพยานนี้แสดงให้เห็นว่าต้นฉบับเอกสารดังกล่าวมิได้อยู่ที่โจทก์ แต่อยู่ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด และได้ความตามคำเบิกความของนางสาวเพ็ญใจ ลิ้มสันติธรรม พยานโจทก์ว่าสถานประกอบการค้าจะส่งใบบันทึกการขาย (สลิปการซื้อขาย) ไปเรียกเก็บเงินยังธนาคาร ธนาคารจะจ่ายเงินแทนให้ หลังจากนั้นธนาคารจะส่งรายงานการใช้จ่ายของจำเลยไปยังโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน ส่วนต้นฉบับใบบันทึกการขายธนาคารจะเป็นผู้เก็บไว้ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า ต้นฉบับใบบันทึกการขายที่โจทก์ได้ระบุพยานไว้ ซึ่งได้แก่เอกสารหมาย จ.๙ นั้นมิได้อยู่ที่โจทก์ แต่อยู่ที่ธนาคาร กรุงไทย จำกัด การที่โจทก์มิได้นำส่งต้นฉบับเอกสารหมาย จ.๙ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ โดยประการอื่น ทั้งจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าต้นฉบับไม่มีหรือสำเนาไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.๙ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ (๒) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาจึงไม่ต้องด้วยความเห็น ของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share