คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9421/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยมีเนื้อที่ทั้งแปลง 25 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วน เนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา และจำเลยเป็นผู้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่เท่าใด เป็นเหตุให้เกิดปัญหาแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใด การที่ศาลล่างทั้งสองแปลตีความคำพิพากษาว่าให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา นั้นถูกต้องตรงตามสาระสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขายที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนและเป็นการซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนทั้งการแปลหรือตีความคำพิพากษาดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อให้การบังคับคดีดำเนินต่อไปได้โดยถูกต้องและเป็นธรรมต่อคู่ความทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีผลเป็นการแก้เนื้อหาคำวินิจฉัยเดิมของศาลชั้นต้น และไม่ใช่เป็นกรณีที่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป แม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะถึงที่สุดไปแล้ว ศาลล่างทั้งสองก็มีอำนาจแก้ไขข้อผิดพลาดและผิดหลงนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143 วรรคหนึ่ง จึงไม่ใช่เป็นการแปลคำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์และเป็นการแก้ไขมาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15250 ตำบลบึงกาสาม (คลองหกวาสายบนฝั่งใต้) อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก คดีถึงที่สุด โจทก์นำสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยื่นคำขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำพิพากษา สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี มีหนังสือลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2545 หารือมายังศาลชั้นต้นว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี จะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นเนื้อที่ดินทั้งแปลงจำนวน 25 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา หรือจำนวนเพียง 15 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ศาลชั้นต้นนัดพร้อมโจทก์ จำเลย และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ในวันนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้มีหนังสือตอบเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงตามคำพิพากษา
ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2545 จำเลยยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ฝ่ายเดียวทั้งแปลง โดยมิได้พิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้ตอบแทนค่าที่ดินแก่จำเลย และมิได้กำหนดเวลาให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนที่เกินกว่าสัญญาคืนจำเลย ทั้งนี้เพราะตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทตามฟ้องมีข้อกำหนดให้โจทก์ต้องชำระราคาที่ดินงวดแรกแก่จำเลยในวันโอนกรรมสิทธิ์และคืนที่ดินดังกล่าวด้วย ฉะนั้นการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ถูกต้องจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากที่จะป้องกันมิให้เกิดปัญหาและการฟ้องร้องกันอีก จึงขอให้กำหนดวิธีการที่โจทก์จะต้องชำระราคาที่ดินตามสัญญาแก่จำเลยให้ชัดเจนหรือแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาศาลชั้นต้น และมีคำสั่งให้สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ให้ระงับการโอนหรือเปลี่ยนแปลงนิติกรรมใด ๆในที่ดินพิพาทไว้ชั่วคราวด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้รับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณาแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วแปลชั้นต้นพิจารณาแล้วแปลคำพิพากษาว่า ในการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามคำพิพากษา หมายถึง การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามจำนวนเนื้อที่ที่ตกลงซื้อขายต่อกันตามสัญญากล่าวคือ จำนวนที่ดินเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 67ตารางวา โดยโจทก์ผู้จะซื้อจะต้องชำระราคาที่ดินตามที่ตกลงซื้อขายกันจำนวน 5,093,600 บาท ให้ครบถ้วนในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยราคาที่ดินที่ซื้อขายกันให้คิดหักกับค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระแก่โจทก์จำนวนจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและชำระราคาที่ดินภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2547 หากฝ่ายจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ทั้งนี้ให้โจทก์จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และให้โจทก์ชำระค่าที่ดินแก่จำเลยภายในกำหนด30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำแปลคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า การแปลคำพิพากษาไม่เป็นธรรมแก่โจทก์และเป็นการแก้ไขมากนั้น เห็นว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 15250 ตำบลบึงกาสาม (คลองหกวาสายบนฝั่งใต้) อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย มีเนื้อที่ทั้งแปลง 25 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา ในราคา 5,093,600 บาท และจำเลยเป็นผู้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว แต่ปรากฏว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่เท่าใด เป็นเหตุให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ว่าจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใดจึงจะเป็นการถูกต้อง ซึ่งการแปลหรือตีความคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่มีใจความว่า ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งนี้ให้โจทก์จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลยภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานั้นถูกต้องตรงตามสาระสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเอกสารหมาย จ. 1 ที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนและเป็นการซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนไม่ใช่เป็นการซื้อขายที่ดินทั้งแปลง ทั้งการแปลหรือตีความคำพิพากษาดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อให้การบังคับคดีดำเนินต่อไปได้โดยถูกต้องและเป็นธรรมต่อคู่ความทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีผลเป็นการแก้เนื้อหาคำวินิจฉัยเดิมของศาลชั้นต้นและไม่ใช่เป็นกรณีที่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป แม้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจะถึงที่สุดไปแล้ว ศาลล่างทั้งสองก็มีอำนาจแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง จึงไม่ใช่เป็นการแปลคำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์และเป็นการแก้ไขมากดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้โจทก์และจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วน และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลยภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 นั้น เนื่องจากกำหนดเวลาดังกล่าวผ่านพ้นไปแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเวลาเสียใหม่เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์และจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลยภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกาค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share