คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกผู้ตายได้อาศัยสิทธิของเจ้ามรดกผู้ตายครอบครองที่พิพาทมา เมื่อเจ้ามรดกตาย การครอบครองที่พิพาทของจำเลยโดยอาศัยสิทธิของผู้ตายต้องยุติลงนับแต่วันที่เจ้ามรดกตาย และถือได้ว่าจำเลยได้ครอบครองเพื่อตนนับแต่เวลานั้นตลอดมา เพราะสิทธิครอบครองของผู้ตายเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599
ที่พิพาทส่วนหนึ่งเป็นมรดกของผู้ตายตกได้แก่ทายาทและยังไม่ได้แบ่งปันกัน จำเลยเป็นทายาทคนหนึ่งได้ครอบครองที่พิพาทนับแต่วันเจ้ามรดกตายตลอดมา จำเลยย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของที่พิพาทส่วนหนึ่งด้วยโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ และเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้ครอบครองเกินส่วนของตนไปเท่าใด โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรและบุตรเขยลอดไปแจ้งการครองครองใส่ชื่อเป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองอาศัยทำกิน โจทก์ให้จำเลยถอนแจ้งการครอบครองและออกไปจากที่ จำเลยทั้งสองก็ไม่ยอม ขอให้ศาลบังคับห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์กับนางพลอยซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยและได้ยกให้เป็นสิทธิเด็ดขาดแก่จำเลย จำเลยได้ครองครองเป็นเจ้าของโดยเปิดเผยมา ๑๗ ปีแล้ว โจทก์หมดสิทธิเรียกร้องเอาคืน โจทก์ทราบว่าจำเลยตั้งตนเป็นเจ้าของมาเกินกว่า ๑ ปี เพิ่งมาฟ้อง คดีจึงขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ และโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินควร
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยอาศัยชั่วคราว ให้ขับไล่จำเลย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ยังมิได้ยกที่พิพาทให้จำเลย แต่ที่พิพาทเป็นของโจทก์และนางพลอยภริยา มีสิทธิร่วมกัน เมื่อนางพลอยตาย จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของนางพลอยร่วมกับโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์และนางพลอย เมื่อนางพลอยตาย สิทธิของนางพลอยเหนือที่พิพาทย่อมตกเป็นของทายาท ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ ๒ ด้วย การครอบครองที่พิพาทของจำเลยที่ ๒ โดยอาศัยสิทธิของนางพลอยต้องยุติลงนับแต่วันที่นางพลอยตายและถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้ครอบครองเพื่อตนนับตั้งแต่เวลานั้นตลอดมา เพราะสิทธิครอบครองของนางพลอยเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ จะถือว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของมาฝ่ายเดียวเกิน ๑ ปีที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ผู้เดียวไม่ได้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การของจำเลยขัดแย้งกันในตัวนั้น เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งหมด และแม้ที่พิพาทจะไม่เป็นของจำเลยทั้งหมด แต่จำเลยก็เป็นเจ้าของร่วมกับโจทก์ เพราะที่พิพาทเป็นมรดกของนางพลอย ย่อมตกทอดแก่จำเลยในฐานะบุตรของนางพลอย หาใช่เป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวไม่ คำให้การของจำเลยจึงไม่ขัดแย้งกัน เมื่อที่พิพาทส่วนหนึ่งเป็นมรดกของนางพลอยตกได้แก่ทายาทและยังไม่ได้แบ่งปันกัน จำเลยที่ ๒ เป็นทายาทนางพลอย ย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของที่พิพาทด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้ครอบครองเกินส่วนของตนไปเท่าใด โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share