คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าศาลแรงงานกลางจะนำบทบัญญัติมาตรา 49 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาใช้บังคับแก่การเลิกจ้างก่อนกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับได้หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จะมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่า กันมาก็ตาม
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2522 และมาตรา 49 มีผลเป็นการให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะไม่ต้องถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตั้งแต่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดิม แต่เมื่อได้ความว่าเป็นกรณีที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานโดยไม่เป็นธรรมตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2521 ซึ่งตามมาตรา 81 (9) แพ่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 บัญญัติให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่จะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่ง ศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาสั่งให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานตามที่โจทก์ขอโดยอาศัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑ จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน โดยกล่าวหาว่า โจทก์กระทำผิด ทำการติดตั้งเครื่องพ่วงต่อจากโทรศัพท์หมายเลข ๓๙๓๒๒๕๐ ไม่ถูกต้องตามระเบียบฯ อันเป็นการผิดวินัย โจทก์มิได้กระทำความผิดดังที่ถูกล่าวหา เหตุที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะโจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานองค์การ ฯ จำเลย และมีส่วนเรียกร้องให้มีการปราบปรามการทุจริตในองค์การฯ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนไม่ต่ำกว่า เดิม ให้จำเลยจ่ายเงินตกเบิกซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ ถึงวันเลิกจ้างและให้จำเลยจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานรวมทั้งสิทธิอันพึงมีพึงได้จากการหางานในตำแหน่งหน้าที่ทุกประการ
จำเลยให้การว่า ได้ให้โจทก์ออกจากงานเพราะโจทก์กระทำผิดข้อบังคับ
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบ เพื่อความเป็นธรรม จึงพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม อัตราเงินเดือนที่ได้รับในขณะเลิกจ้าง นับเวลาการทำงานติดต่อกัน และให้โจทก์มีสิทธิได้รับการปรับอัตราเงินเดือนย้อนหลัง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นการพิจารณาพิพากษาสั่งตามอำนาจของศาลแรงงานตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ แต่ปรากฏว่า กรณีพิพาทรายนี้จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานอันถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลแรงงานกลางจะนำมาตรา ๔๙ มาพิจารณาและพิพากษาสั่งโดยที่ปัญหาข้อนี้จะมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ เพิ่งประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๒ เป็นต้นมา และบทบัญญัติมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มีผลเป็นการให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะไม่ต้องถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ แต่ในวันที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมนั้น มาตรา ๔๙ นี้ ยังมิได้ประกาศใช้บังคับ กรณีการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมเช่นนี้คดีนี้จึงต้องบังคับตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะเลิกจ้าง ซึ่งมาตรา ๔๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติให้อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมแรงงานสัมพันธ์ที่จะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่ง ฉะนั้น ศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาสั่งให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่ง เดิมและอัตราเงินเดือนที่ได้รับในขณะเลิกจ้างโดยอาศัยมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share