คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้เสียหายจะยอมให้จำเลยร่วมประเวณีซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ก็เป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของบิดามารดา ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 38 ปี และมีภริยาอยู่แล้ว ไม่ได้มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่งแล้ว
การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง เริ่มขึ้นตั้งแต่จำเลยพาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ที่ปากซอยหน้าบ้านในประเทศไทย แม้จำเลยจะไปร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ประเทศญี่ปุ่น การกระทำของจำเลยส่วนหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๓๑๐, ๓๑๙, ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ จำคุก ๒ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายยินยอมให้ร่วมประเวณีไม่เป็นอนาจารและเหตุเกิดที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะความผิดสำเร็จที่ประเทศญี่ปุ่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเคยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายในประเทศไทยหลายครั้ง และไปร่วมประเวณีกันที่ประเทศญี่ปุ่นอีก แสดงว่าผู้เสียหายและจำเลยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในวันเกิดเหตุก็เพื่อจะร่วมประเวณีกัน แม้ผู้เสียหายจะยอมให้จำเลยร่วมประเวณีซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุยังไม่เกิน ๑๘ ปี ไปเสียจากโจทก์ร่วมผู้เป็นบิดามารดา ก็เป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของโจทก์ร่วม ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ ๓๘ ปี และมีภริยาอยู่แล้ว ไม่ได้มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ วรรคหนึ่งแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่าความผิดสำเร็จที่ประเทศญี่ปุ่น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยเริ่มขึ้นตั้งแต่จำเลยพาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ที่ปากซอยหน้าบ้านไปแม้จำเลยจะไปร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ประเทศญี่ปุ่น แต่การกระทำของจำเลยส่วนหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามบทบัญญัติมาตรา ๕ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และเห็นว่าแม้จำเลยจะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ควรรอการลงโทษให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยไม่รอการลงโทษชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ โดยมิได้ระบุวรรคใดนั้น เห็นสมควรระบุเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๙ วรรคหนึ่ง นอกจาที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share