คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบหลายกรรมต่างกัน ซึ่งข้อหาความผิดตามฟ้องในแต่ละกระทงมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การ และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทุกกระทงความผิดไป ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นไปโดยมุ่งประสงค์จะโต้แย้งว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 แต่เพียงกรรมเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นจากที่จำเลยให้การรับสารภาพอันเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ และเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยบิดเบือนให้เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบของกลางและให้จำเลยจ่ายสินบนนำจับ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 (ที่ถูก มาตรา 12 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน จำนวน 17 กระทง เป็นจำคุก 102 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 51 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามฟ้องปรากฏว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดสลากกินรวบ (งวดวันที่ 1 กันยายน 2549) 90 แผ่น คิดเป็นเงิน 557,857 บาท ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงปรากฏแต่เพียงว่ามีการจับกุมจำเลยเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 เพียงครั้งเดียว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบหลายกรรมต่างกัน ซึ่งข้อหาความผิดตามฟ้องในแต่ละกระทงมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การ และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทุกกระทงความผิดไป และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทุกกระทงความผิดไป ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นไปโดยมุ่งประสงค์จะโต้แย้งว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 แต่เพียงกรรมเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นจากที่จำเลยให้การรับสารภาพอันเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ และเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่จำเลยบิดเบือนให้เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบ โดยเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมโพยสลากกินรวบซึ่งมีการเล่นพนันต่อเนื่องเป็นเวลานานและเป็นเงินจำนวนมากอันแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้การพนันสลากกินรวบรายใหญ่และเล่นการพนันได้เสียเป็นอาชีพลักษณะของการกระทำความผิดเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม โดยมิได้คำนึงว่าจะเป็นเหตุให้ประชาชนลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุขอย่างกว้างขวางสร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมพฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยจะไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนหรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอจะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย อย่างก็ตาม โทษจำคุกซึ่งจำเลยจะต้องรับตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในแต่ละกระทงมีกำหนดเวลาเพียงสามเดือน เห็นสมควรใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกของศาลล่างทั้งสองให้น้อยลงอีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องแก่รูปคดี ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 14 วัน รวม 17 กระทง จำคุก 238 วัน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือน 29 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share