คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยด่าผู้เสียหายโดยถือมีดและจอบไปด้วย อันมีลักษณะท้าทายพร้อมจะทำร้ายผู้เสียหาย การที่จำเลยตะโกนบอกให้ ส. กับ ร. ไปเอาอาวุธปืนมา แม้ ส. ใช้อาวุธปืนลูกโม่กับอาวุธปืนแก๊ปยาวยิงผู้เสียหายในทันทีภายหลังจากที่จำเลยบอกให้ไปเอาอาวุธปืน และเป็นการยิงขณะที่จำเลยด่าท้าทายผู้เสียหาย เมื่อ ส. ยิงผู้เสียหายจำเลยก็หลบหนีไปพร้อมกับ ส. ด้วย พฤติการณ์ที่แสดงถึงอาการยั่วยุและบอกให้ ส. ไปเอาอาวุธปืนมาเป็นการกระตุ้นให้ ส. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ภาษากายที่จำเลยแสดงออกส่อเจตนาว่าจำเลยร่วมเป็นตัวการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การที่ ส. ใช้ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายขณะก้มพาบุตรเข้าบ้านอันมีโอกาสเลือกยิง ทั้งกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่มุมปากและคอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แสดงถึงเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายให้ตายแม้จะรักษาตัวเพียง 15 วัน ก็หายเป็นบาดแผลไม่รุนแรงแสดงว่ากระสุนปืนมีกำลังอ่อนก็ตาม แต่ยังปรากฏว่า ส. ได้ยิงผู้เสียหายอีก 2 นัด แต่กระสุนปืนไม่ลั่นซึ่งกระสุนปืนอาจลั่นอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371, 91, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 13 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า ในวันที่ 21 ตุลาคม 2544 เวลา 10 นาฬิกา ขณะผู้เสียหายอยู่กับบุตรอายุ 2 ปี บนบ้านได้ยินเสียงจำเลยตะโกนด่า จากนั้นจำเลยเดินถือจอบและมีดเดินมาที่บ้านผู้เสียหายพร้อมกับนายสมพงษ์ และนายสำเริง จำเลยตะโกนบอกให้นายสมพงษ์และนายสำเริงไปเอาปืนมา จำเลยเดินไปด่าและเรียกผู้เสียหายให้ลงมาจากบ้าน แต่ผู้เสียหายไม่ลง ต่อมานายสมพงษ์ถืออาวุธปืนลูกโม่ ส่วนนายสำเริงถืออาวุธปืนแก๊ปยาววิ่งมา นายสมพงษ์ใช้อาวุธปืนลูกโม่ยิงผู้เสียหาย 2 นัด แต่กระสุนปืนไม่ลั่น นายสมพงษ์จึงเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวจากนายสำเริงยิงผู้เสียหาย 1 นัด ได้รับอันตรายแก่กาย บาดแผลมีทั้งที่มุมปากขวา ใต้หุขวา ลำคอใกล้ไหล่ขวาและต้นแขนขวา จากนั้นจำเลยกับนายสมพงษ์และนายสำเริงหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2545 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า จำเลยพบว่าหลุมที่จำเลยขุดมีอุจจาระอยู่จำเลยเชื่อว่าผู้เสียหายถ่ายอุจจาระไว้ในหลุม ได้ไปด่าผู้เสียหายโดยจำเลยถือมีดและจอบไปด้วย อันมีลักษณะท้าทายพร้อมจะทำร้ายผู้เสียหาย การที่จำเลยตะโกนบอกให้นายสมพงษ์กับนายสำเริงไปเอาอาวุธปืนมา แม้นายสมพงษ์ใช้อาวุธปืนลูกโม่กับอาวุธปืนแก๊ปยาวยิงผู้เสียหายในทันทีภายหลังจากที่จำเลยบอกให้ไปเอาอาวุธปืน และเป็นการยิงขณะที่จำเลยด่าท้าทายผู้เสียหาย โดยจำเลยมีจอบและมีดแสดงว่ามีอาวุธพร้อมที่จะทำร้ายผู้เสียหายในทันทีขณะนั้น เมื่อนายสมพงษ์ยิงผู้เสียหาย จำเลยก็หลบหนีไปพร้อมกับนายสมพงษ์ พฤติการณ์ที่แสดงถึงอาการยั่วยุและบอกให้นายสมพงษ์ไปเอาอาวุธปืนมาเป็นการกระตุ้นให้นายสมพงษ์ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ภาษากายที่จำเลยแสดงออกส่อเจตนาว่าจำเลยร่วมเป็นตัวการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การที่นายสมพงษ์ใช้ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายขณะก้มพาบุตรเข้าบ้านอันมีโอกาสเลือกยิง ทั้งกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญไม่ว่ามุมปาก ใกล้ไหล่ขวา ลำคอและที่อื่น ๆ แสดงถึงเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายให้ตาย แม้การที่นายสมพงษ์ใช้อาวุธแก๊ปยาวยิงผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหลายแห่งแต่รักษาตัวเพียง 15 วัน ก็หายเป็นบาดแผลไม่รุนแรงแสดงว่ากระสุนปืนมีกำลังอ่อนก็ตาม แต่ก็ได้ความว่านายสมพงษ์ได้ใช้อาวุธปืนลูกโม่ยิงผู้เสียหายจำนวน 2 นัดด้วย แต่กระสุนปืนไม่ลั่น ซึ่งกระสุนปืนอาจลั่นออกทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับนายสมพงษ์กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ลำพังจำเลยบอกนายสมพงษ์ให้ไปเอาอาวุธปืนมา เป็นเรื่องที่นายสมพงษ์จะตัดสินใจเองว่าจะเอาอาวุธปืนมาหรือไม่แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ดีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมกับผู้อื่นมีและพาอาวุธปืนไม่มีทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับและลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ แต่จากทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีได้ตามกฎหมายหรือไม่ กรณีจึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่า เป็นอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่านั้น ที่โจทก์ขอให้ลงโทษฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงหาอาจลงโทษให้ได้ไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 10 ปี 12 เดือน

Share