คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างให้จำเลยที่ 3 ทำการขนส่งสินค้าที่บรรจุในตู้สินค้าทางเรือจากประเทศสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพภายใต้เงื่อนไขแบบซีวาย/ซีวาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าได้รับความเสียหายตั้งแต่ก่อนเปิดตู้สินค้าแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าตู้สินค้าดังกล่าวอยู่ในสภาพผิดปกติหรือมีรอยชำรุดเสียหายที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ทำการขนส่งด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าถูกกระทบกระแทก จึงรับฟังได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นหรือเป็นผลจากเหตุอื่นที่มิใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่อหรืออยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายของสินค้านั้น ตาม พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 52 (13)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 96,711 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 91,008 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ 91,088 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 5,703 บาท ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 4,500 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 3 ทำการขนส่งสินค้าทางเรือจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพภายใต้เงื่อนไขแบบ ซีวาย/ซีวาย กล่าวคือ ที่ท่าเรือต้นทางผู้ส่งสินค้ามีหน้าที่มารับตู้สินค้าจากผู้ขนส่งเพื่อนำไปบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าแล้วปิดตราผนึกตู้สินค้าเองโดยผู้ขนส่งไม่เกี่ยวข้อง จากนั้นผู้ส่งของจะนำตู้สินค้ามาส่งมอบแก่ผู้ขนส่งที่ท่าเรือเพื่อให้ผู้ขนส่งทำการขนส่งต่อไปโดยในการบรรจุได้เรียงสินค้าเข้าตู้สินค้า จำเลยที่ 3 ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ส่งสินค้าเป็นผู้บรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าและปิดตราผนึกประตูตู้สินค้าเอง ทั้งจำเลยที่ 3 ผู้ขนส่งสินค้าไม่ทราบถึงสภาพของสินค้าที่อยู่ในตู้สินค้าว่ามีสภาพอย่างไร ดังนี้หากสินค้าได้รับความเสียหายในระหว่างที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 บรรจุสินค้าเข้าไปในตู้สินค้าและนำตู้สินค้ามาที่ท่าเรือต้นทาง จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิดเพราะเหตุแห่งความเสียหายนั้นมิได้เกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าดังกล่าวอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 3 ตามที่ได้รับมอบหมาย นอกจากนี้ยังได้ความว่าในระหว่างการเดินทางของเรือโกตาเสรีซึ่งบรรทุกตู้สินค้าจากท่าเรือสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพนั้นไม่ปรากฏว่าเรือประสบกับพายุหรือคลื่นลมรุนแรงที่จะทำให้ตู้สินค้าได้รับการกระทบกระแทกแต่อย่างใด นายเรือและลูกเรือได้ดูแลเอาใจใส่ตู้สินค้าซึ่งบรรจุสินค้าด้วยความระมัดระวังตามปกติวิสัยของผู้ประกอบอาชีพรับขนส่งสินค้าทางทะเลเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง และเมื่อเรือมาถึงท่าเรือกรุงเทพก็ได้ทำการส่งมอบตู้สินค้าให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยในสภาพเรียบร้อยและมีตราผนึกประตูตู้สินค้าเรียบร้อย แต่เมื่อตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอเปิดตู้สินค้าพบว่ามีสินค้าของเจ้าของสินค้าหลายรายบรรจุอัดแน่นเบียดเสียดกันอยู่ประมาน 98 หีบห่อ ประกอบกับการบรรจุหีบห่อของสินค้าที่เอาประกันภัยไม่มั่นคงแข็งแรงจึงทำให้สินค้ารับความเสียหาย นอกจากนี้ยังได้ความจากบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและคำเบิกความของนางสาวสุกัญญา พยานจำเลยที่ 3 ว่า เจ้าหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและพยานได้ร่วมเปิดตู้สินค้า พบว่ามีสินค้าบรรจุอยู่จำนวนมากถึง 98 หีบห่อ อัดแน่นเบียดเสียดกันอยู่ รวมทั้งสินค้าที่เอาประกันภัยซึ่งบรรจุอยู่ในลังไม้ 1 ลัง และในกล่องอีก 1 กล่อง สินค้าได้รับความเสียหายเนื่องจากการบรรจุหีบห่อไม่มั่นคงแข็งแรง ประกอบกับการจัดเรียงสินค้าที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวและสินค้าที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายตั้งแต่ก่อนเปิดตู้สินค้าแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าสินค้าได้รับความเสียหายตั้งแต่ก่อนเปิดตู้สินค้าแล้ว และเมื่อไม่ปรากฏว่าตู้สินค้าดังกล่าวอยู่ในสภาพผิดปกติหรือมีรอยชำรุดเสียหายที่จะแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 ทำการขนส่งด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าถูกกระทบกระแทก ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นหรือเป็นผลจากเหตุอื่นที่มิใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่อหรืออยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายของสินค้านั้นตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (13) จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และกรณีไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นๆ ของจำเลยที่ 3 อีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงไปที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้โจทก์ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 3 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท

Share