คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ขนส่งสินค้าตามฟ้องทางทะเลย่อมต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายของสินค้าดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่สินค้าอยู่ในความดูแล จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่ขนส่งสินค้าจากเมืองท่าสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 39 วรรคสอง และมาตรา 40 (3) ให้ถือว่าสินค้าตามฟ้องยังอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งจนกว่าจะได้มีการส่งมอบสินค้าให้แก่เจ้าหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เมื่อเรือขนส่งสินค้ามาจอดเทียบท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าของเรือได้ติดต่อเช่ารถปั้นจั่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมาทำการขนสินค้าขึ้นจากเรือและหลักฐานการชำระค่าเช่าระบุว่ามีการคิดค่าเช่าโดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้จ่าย แสดงให้เห็นได้ว่าหน้าที่ในการขนส่งสินค้าขึ้นจากเรือยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งอยู่ การทำหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงเป็นการทำงานแทน และเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 การขนสินค้าตามฟ้องขึ้นจากเรือไปวางไว้ที่พื้นหน้าท่าเป็นขั้นตอนหนึ่งในการส่งมอบสินค้าให้ไปอยู่ในความครอบครองดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย การที่ลวดสลิงที่รัดยึดสินค้าเกิดขาดในระหว่างที่ปั้นจั่นยกลอยขึ้นจากเรือกำลังจะเคลื่อนย้ายมาวางที่พื้นหน้าท่าและตกกระแทกพื้นที่หน้าท่าทำให้สินค้าได้รับความเสียหายนั้น ถือว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าดังกล่าวยังอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมต้องรับผิดเพื่อความเสียหายดังกล่าว โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าความเสียหายนั้นเกิดจากความผิดหรือประมาทเลินเล่อของผู้ควบคุมรถปั้นจั่น ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือไม่ เพราะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งย่อมต้องรับผิดในความผิดหรือประมาทเลินเล่อของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขนส่งตามมาตรา 52 (13)

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับโอนมาจากศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 46
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,642,702.69 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,640,006.79 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ให้เรียกการท่าเรือแห่งประเทศไทยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามคำร้องขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2
จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 469,470 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างคู่ความทุกฝ่ายให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า บริษัทดีทแฮล์ม จำกัด ได้สั่งซื้อรถยกและไสดินสแคร็พเปอร์จำนวน 11 คัน จากบริษัทเดรสเซอร์ สิงคโปร์ พีทีอี จำกัด สินค้าดังกล่าวได้บรรทุกลงเรือพิชิตสมุทรจากเมืองท่าสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพเพื่อส่งมอบให้แก่บริษัทดีทแฮล์ม จำกัด ผู้ซื้อ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ขนส่ง จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเรือ โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าดังกล่าวในวงเงิน 1,704,890 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเรือพิชิตสมุทรเดินทางมาถึงและจอดเทียบท่า ที่ท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 3 ได้ว่าจ้างบริษัทจัน แอนด์ ซัน จำกัด ให้ขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือพิชิตสมุทรรวมทั้งรถยกและไสดิน สแคร็พเปอร์ทั้งสิบเอ็ดคันด้วย โดยได้มีการติดต่อเช่ารถปั้นจั่นของจำเลยร่วมเพื่อให้ยกรถยกและไสดิน สแคร็พเปอร์ทั้งสิบเอ็ดคัน ซึ่งในการยกรถยกและไสดินสแคร็พเปอร์ขึ้นจากเรือ คนงานของบริษัทจัน แอนด์ ซัน จำกัด จะเป็นผู้นำตะขอของรถปั้นจั่นเกี่ยวคล้องเข้ากับลวดสลิงที่คล้องผูกอยู่กับตัวรถ เจ้าหน้าที่ของจำเลยร่วมจะเป็นผู้ควบคุมรถปั้นจั่นโดยจะทำการยกรถยกและไสดินสแคร็พเปอร์ขึ้นจากเรือพิชิตสมุทรไปวางที่พื้นหน้าท่าทีละคัน ในการยกรถยกและไสดินสแคร็พเปอร์คันที่ 3 ขณะที่ยังไม่ทันถึงพื้นที่หน้าท่า ปรากฏว่าลวดสลิงที่คล้องตัวรถยกและไสดิน สแคร็พเปอร์ขาด เป็นเหตุให้รถยกและไสดิน สแคร็พเปอร์คันที่ 3 เสียการสมดุลและแกว่งตกลงกระแทกพื้นที่หน้าท่าได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 1,640,006.79 บาท โจทก์ได้ชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวให้แก่บริษัทดีทแฮล์ม จำกัด ผู้รับตราส่งไปแล้ว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2537
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งต้องรับผิดเพื่อความเสียหายของรถยกและไสดินสแคร็พเปอร์ดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า ความเสียหายของรถยกและไสดินตามฟ้องมิได้เกิดขึ้นขณะอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่ง แต่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลยร่วมและความเสียหายก็มิได้เกิดจากความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ขนส่งสินค้ารถยกและไสดินสแคร็พเปอร์ตามฟ้องทางทะเล จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายของรถยกและไสดินดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่รถยกและไสดินดังกล่าวอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่ขนส่งรถยกและไสดินสแคร็พเปอร์ตามฟ้องจำนวน 11 คัน จากเมืองท่าสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 39 วรรคสอง และมาตรา 40 (3) ให้ถือว่าสินค้ารถยกและไสดินตามฟ้องยังคงอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งจนกว่าจะได้มีการส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยร่วมได้ความว่าเมื่อเรือพิชิตสมุทรมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าของเรือได้ติดต่อเช่ารถปั้นจั่นของจำเลยร่วมมาทำการขนรถยกและไสดินตามฟ้องขึ้นจากเรือพิชิตสมุทรมาวางไว้ที่หน้าท่าเรือและตามหลักฐานการชำระค่าเช่าเอกสารหมาย ล. 11 ถึง ล. 14 ระบุว่า มีการคิดค่าเช่ากันเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 4,000 บาท โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้จ่ายค่าเช่าดังกล่าว แสดงให้เห็นได้ว่าหน้าที่ในการขนสินค้ารถยกและไสดินสแคร็พเปอร์ขึ้นจากเรือยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งอยู่ เพียงแต่อาจมีเหตุจำเป็นที่ปั้นจั่นของเรือพิชิตสมุทรไม่สามารถยกสินค้าดังกล่าวขึ้นจากเรือได้ จึงต้องมีการเช่ารถปั้นจั่นของจำเลยร่วมเพื่อให้ทำหน้าที่แทนปั้นจั่นของเรือ การทำหน้าที่ขนรถยกและไสดินดังกล่าวขึ้นจากเรือพิชิตสมุทรมาวางไว้ที่พื้นหน้าท่าเรือของจำเลยร่วมจึงเป็นการทำงานแทน และเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นายกัมพล หัวหน้าแผนกโรงพักสินค้า 3 ซึ่งมีหน้าที่ในการรับและดูแลสินค้าที่ขนลงจากเรือมาไว้ในความดูแลของจำเลยร่วมได้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยร่วมว่า ตามระเบียบของจำเลยร่วมสินค้าที่ขนลงจากเรือจะถือว่าอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลยร่วมต่อเมื่อสินค้านั้นถูกขนถ่ายลงถึงพื้นหน้าท่าของจำเลยร่วม ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อกำหนดความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้ระบุไว้ในใบตราส่ง เอกสารหมาย จ. 8 หรือ ล. 5 ว่า ความรับผิดของเจ้าของเรือจะสิ้นสุดลงโดยเด็ดขาดเมื่อสินค้าได้หลุดพ้นไปจากรอกยกของเรือแล้ว ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า การขนสินค้ารถยกและไสดินตามฟ้องขึ้นจากเรือพิชิตสมุทรลงไปวางไว้ที่พื้นหน้าท่าเป็นขั้นตอนหนึ่งในการส่งมอบสินค้าให้ไปอยู่ในความครอบครองดูแลของจำเลยร่วม การที่ลวดสลิงที่รัดยึดระหว่างหัวรถกับตัวรถยกและไสดินเกิดขาดในระหว่างที่ปั้นจั่นยกลอยขึ้นจากเรือกำลังจะเคลื่อนย้ายมาวางที่พื้นหน้าท่า ทำให้หัวรถและตัวรถพับเข้าหากัน รถยกและไสดินดังกล่าวเสียการสมดุลและแกว่ง และต่อมาได้ตกลงกระแทกพื้นที่หน้าท่าอย่างแรง ทำให้รถยกและไสดินดังกล่าวได้รับความเสียหายนั้น ถือว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในขณะที่การส่งมอบสินค้าแก่จำเลยร่วมยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ความเสียหายดังกล่าวจึงถือได้ว่าได้เกิดขึ้นในระหว่างที่รถยกและไสดินคันที่ 3 ยังอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมต้องรับผิดเพื่อความเสียหายดังกล่าว โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าความเสียหายนั้นเกิดจากความผิดหรือประมาทเลินเล่อของผู้ควบคุมรถปั้นจั่นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยร่วมหรือไม่ เพราะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งย่อมต้องรับผิดในความผิดหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยร่วม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่แล้ว กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขนส่งตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (13)
พิพากษายืน

Share