คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทแล้วแจ้งให้จำเลยขนย้ายออกไป เป็นระยะเวลาที่สัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดลงแล้วและไม่มีการทำสัญญาใหม่โจทก์ไม่เคยยินยอมให้เช่าต่อไป จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน แม้จำเลยจะมีสัญญาต่างตอบแทนเป็นพิเศษกับเจ้าของเดิม สัญญานี้ก็ไม่อยู่ภายใต้บังคับป.พ.พ. ม.569 จำเลยไม่มีสิทธิเอาข้อตกลงดังกล่าวมายกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับโจทก์ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกจากตึกแถวพิพาท และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 45,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังได้ตามคำฟ้องเฉพาะที่จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร โดยสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2522 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2523 โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไป ขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายออก แต่จำเลยไม่ขนย้ายออกไป พิเคราะห์แล้วในประเด็นที่ว่า โจทก์ต้องผูกพันให้เช่าจนถึงปี พ.ศ. 2534 นั้น เห็นว่า ขณะที่โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทแล้วแจ้งให้จำเลยขนย้ายออกไปนั้นเป็นระยะเวลาที่สัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดลงแล้วและไม่มีการทำสัญญาใหม่ โจทก์ไม่เคยตกลงยินยอมผูกพันที่จะให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์กับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันแม้จำเลยจะมีสัญญาต่างตอบแทนเป็นพิเศษกับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร สัญญานี้ก็ไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 จำเลยไม่มีสิทธิเอาข้อตกลงดังกล่าวมายกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับโจทก์ผู้เป็นเจ้าของคนใหม่ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างนั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยไม่ได้เช่าในนามส่วนตัวนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ปฏิเสธไว้ในคำให้การว่า จำเลยไม่ได้เช่าหรือเช่าในนามของบริษัทศรีฟ้าจึงไม่เป็นประเด็นที่ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น” ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยคำพยานของทั้งสองฝ่าย”

พิพากษายืน

Share