คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีราษฎรเป็นโจทก์และศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแล้วโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
การบำรุงรักษาจัดการวัด พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505บัญญัติให้อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของเจ้าอาวาส
การที่โจทก์จะเข้าไปบูรณะซ่อมแซมหลังคาวิหารโดยพลการเจ้าอาวาสมีอำนาจที่จะห้ามปรามได้ ไม่ถือเป็นเรื่องเจ้าอาวาสปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกจะซ่อมแซมหลังคาวิหารของวัดที่ชำรุดทรุดโทรมจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดนั้นขัดขวางไม่ยอมให้ซ่อม เป็นเหตุให้ศาสนสมบัติและโจทก์กับพวกเสียหายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดได้ยุยงและสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83, 84 และ 86 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 37, 38 ฯลฯ

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน (ระหว่างอุทธรณ์จำเลยที่ 1 มรณภาพศาลสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัว)

โจทก์ฎีกา

ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งในปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแต่คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแล้วและไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้ได้อนุญาตให้ฎีกา โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ประกอบด้วยมาตรา 170 สำหรับในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องการบำรุงรักษาจัดการวัดอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของเจ้าอาวาสดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 37, 83 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 การที่โจทก์กับพวกจะเข้าไปบูรณะซ่อมแซมหลังคำวิหารโดยพลการ จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเจ้าอาวาสมีอำนาจที่จะห้ามปรามการกระทำของโจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

พิพากษายืน

Share