แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์แล้วแต่ใช้ดุลพินิจให้รอการลงอาญาโทษจำคุกไว้แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์คงมีโจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวขอให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงอาญาก็ตาม ในการใช้ดุลพินิจข้อนี้ ศาลอุทธรณ์จำต้องตรวจข้อเท็จจริงและเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามข้อเท็จจริงยังไม่สมควรที่จะลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ คือพิพากษายกฟ้องได้
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10-12 ให้จำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 3 เดือน ปรับคนละ 500 บาท ปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 400 บาท และจำเลยที่ 1-2 ยังผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 125 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุกคนละ 1 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ4 เดือน แต่ให้รอการลงอาญาไว้ ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์ขออย่าให้รอการลงอาญาแก่จำเลยที่ 1-2
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นชอบด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อที่ลงโทษจำเลยที่ 1-2 ตามพระราชบัญญัติการพนัน และใช้ดุลยพินิจให้รอการลงอาญา แต่ไม่เชื่อพยานหลักฐานโจทก์ อันเป็นเรื่องให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน จึงให้ยกฟ้องโจทก์ในฐานนี้เสีย นอกนั้นคงยืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีกระทงความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานนั้นโจทก์ยังอุทธรณ์ขอให้พิจารณาไม่รอการลงอาญาแก่จำเลย คดีในประเด็นข้อนี้จึงยังไม่ยุติ และในการพิจารณาถึงดุลยพินิจข้อนี้ศาลอุทธรณ์จึงจำต้องตรวจข้อเท็จจริง เมื่อเห็นว่าตามข้อเท็จจริงยังไม่สมควรลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ ฯลฯ
จึงพิพากษายืน