แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์มรดกซึ่งหญิงมีสามีมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งก่อนทำการสมรสกับสามี แม้ทรัพย์มรดกนั้นยังไม่ได้แบ่งปันกัน ก็ย่อมเป็นสินเดิมของหญิงนั้น และเป็นสินบริคณห์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462 โจทก์ซึ่งเป็นสามีมีสิทธิฟ้องเรียกมรดกส่วนของภริยาซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างสามีภริยาได้ ตามมาตรา 1469 และแม้จำเลยเป็นมารดาของภริยาโจทก์ ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 1534 เพราะจำเลยไม่ใช่บุพการีโจทก์และมิใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องแทนภริยา
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาเป็นใจความว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะภริยา และจำเลยที่ 2 กับภริยาโจทก์ ในฐานะบุตรเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกนายสวัสดิ์ผู้ตายซึ่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2496 ระหว่างมีชีวิตอยู่ผู้ตายมีทรัพย์สมบัติที่ดินโฉนด 1172 ตำบลจักรวรรดิ์ อำเภอสัมพันธ์วงศ์ และที่ดินโฉนดที่ 4360 ตำบลบ้านทวาย อำเภอยานนาวา กับสิทธิการเช่าที่ดินสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกรรมสิทธิ์เรือนบนที่ดินเช่านี้ 1 หลังปรากฎรายละเอียดตามฟ้อง เมื่อนายสวัสดิ์ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินดังกล่าวชอบที่จะแบ่งปันระหว่างทายาท โดยเมื่อกันสินสมรสของจำเลยที่ 1 ออกหนึ่งในสามส่วนตามกฎหมายลักษณะผัวเมียแล้ว ส่วนที่เหลือสองในสามส่วน ย่อมเป็นมรดกตกได้แก่บุตรและภริยาในฐานะทายาท คนละส่วนเท่า ๆ กัน แต่ปรากฏว่ายังมิได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยจำเลยที่ 1 และนางพะเยาว์ภริยาโจทก์ยังคงครอบครองทรัพย์มรดกด้วยกันเรื่อยมาส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ครอบครอง จึงหมดสิทธิในกองมรดก ต่อมาในเดือนมกราคม 2508 โจทก์จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ลักลอบโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1172 บางส่วนแก่จำเลยที่ 2 และจำเลยทั้งสองได้สมคบกันโอนขายที่ดินโฉนดที่ 4360 ให้แก่ผู้อื่นไปเป็นเงิน240,000 บาท โดยปกปิดไม่ได้แบ่งเงินที่ขายได้ให้แก่ภริยาโจทก์เลยนอกจากนี้ยังร่วมกันเก็บเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าในการต่อสัญญาจากผู้เช่าไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน 405,000 บาท นางพะเยาว์ภริยาโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เพราะเป็นอุทลุมโจทก์จึงจำเป็นต้องฟ้องคดีเอง เพื่อสงวน บำรุงรักษา และเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ขอให้จำเลยที่ 2 โอนกรรมสิทธิ์กลับคืนมา และนำขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งปันซึ่งตกเป็นสินบริคณห์ส่วนของโจทก์และภริยาโจทก์ จำนวน200,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าซึ่งตกเป็นสินบริคณห์ส่วนของโจทก์และภริยาโจทก์ จำนวน 135,000 บาทซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดเงินจำนวนนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องและให้จำเลยทั้งสองนำเงินสินบริคณห์ส่วนของโจทก์และภริยาโจทก์จากที่ดินโฉนดที่ 4360 เป็นเงิน 133,333.33 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จากวันขายเป็นเงิน 66,666.66 บาท กับกรรมสิทธิ์ในเรือนบนที่ดินเช่าซึ่งเป็นส่วนของภริยาโจทก์ 20,000 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่ทายาทของนายสวัสดิ์เจ้ามรดก และคดีขาดอายุความ ที่ดินโฉนดที่ 1172 ตำบลจักรวรรดิ์ซื้อมาระหว่างสมรสและด้วยเงินสินเดิมของจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 ส่วนตึกแถวซึ่งเป็นสินสมรสเป็นส่วนของนางพะเยาว์ไม่เกิน 22,222 บาท ที่ดินแปลงนี้จำเลยที่ 1 ได้ให้นางพะเยาว์เอาไปประกันเงินกู้ แต่นางพะเยาว์เอาไปจำนองธนาคารเป็นเงิน 200,000 บาทและเอาเงิน 140,000 บาทไว้เป็นของตนเสีย การกระทำของนางพะเยาว์เป็นการปิดบังทรัพย์มรดกเกินกว่าส่วนที่ตกได้แก่ตนโดยฉ้อฉล จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดก ส่วนที่ดินโฉนดที่ 4360 ตำบลบ้านหวาย เป็นของนายหมิ่นบุตรจำเลยซึ่งเป็นคนต่างด้าว จึงให้จำเลยลงชื่อแทนไว้สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ตกเป็นมรดก ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่านางพะเยาว์เป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดก กับให้นำเงิน 140,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยคืนเข้ากองมรดก
จำเลยที่ 2 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 และต่อสู้ว่าทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องเป็นมรดกที่ยังมิได้แบ่งปันกันระหว่างทายาทจึงยังไม่เป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับนางพะเยาว์ภริยาโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยจะฟ้องขอให้กำจัดนางพะเยาว์ภริยาโจทก์มิให้รับมรดกไม่ได้ และนางพะเยาว์มิได้ปิดบังหรือยักยอกเงิน 140,000 บาทจากกองมรดก
ก่อนสืบพยาน นายสิน มนูรัตน์ นายกิจจา มนูรัตน์ และนายหมิ่นแซ่ลี้ ยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความ อ้างว่าเป็นบุตรผู้ตายและจำเลยที่ 1 ขอรับส่วนแบ่งมรดกในฐานะทะยาทด้วย ศาลสั่งอนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยสั่งงดสืบพยานว่า เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกมรดกแทนภริยาซึ่งมิได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้อง แต่ภริยาจะมอบอำนาจไม่ได้ เพราะเป็นบุตรจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 และโจทก์จะฟ้องตามมาตรา 1469 ไม่ได้ เพราะขาดหลักเกณฑ์ ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ฟ้องแย้งและร้องสอดเป็นอันตกไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ระหว่างฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ขอให้เรียกจำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 แต่ปรากฏว่าคำร้องมิได้ยื่นภายใน 1 ปี ศาลจึงสั่งยกคำร้องและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะปัญหาอำนาจฟ้องของโจทก์ ซึ่งมาสู่ศาลฎีกาในชั้นนี้ว่าเมื่อนายสวัสดิ์เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2496 นางพะเยาว์ภริยาโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกด้วยผู้หนึ่ง ต่อมาใน พ.ศ. 2499 นางพะเยาว์สมรสกับโจทก์ ทรัพย์มรดกที่นางพะเยาว์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งอันยังมิได้แบ่งปันกันนั้น ย่อมเป็นสินเดิมของนางพะเยาว์และย่อมเป็นสินบริคณห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462โจทก์เป็นสามีนางพะเยาว์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนของนางพะเยาว์ ซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับนางพะเยาว์จากจำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 1534 เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่บุพการีของโจทก์ และโจทก์ไม่ได้ฟ้องแทนนางพะเยาว์ภริยา ความเห็นของศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี