คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1611/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสิ้นสุดลงโดยการไม่ใช้ ดังนั้นแม้จะปรากฏว่าผู้ร้องไม่ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 2 ปี ตราบใดที่ยังไม่มีผู้อื่นมาแย่งกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องหาเสียกรรมสิทธิ์ไปไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้คัดค้าน แต่เป็นการครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนครบสิบปี ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2853ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรีเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 36 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2853 ตำบลตลิ่งชันอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 3 ไร่2 งาน 36 ตารางวา ซึ่งเป็นแปลงที่อยู่ติดคลองชลประทานตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382 (โดยการครอบครองปรปักษ์) ให้ยกคำคัดค้าน
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “… จากเหตุผลดังกล่าวมาฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้คัดค้าน แต่เป็นการครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ผู้คัดค้านฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องขาดสิทธิครอบครองมาเป็นเวลา 2 ปี ก่อนฟ้องคดีนี้ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์นั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์มาเป็นเวลานานแล้ว ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสิ้นสุดลงโดยการไม่ใช้ ดังนั้นแม้จะปรากฏว่าผู้ร้องไม่ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา2 ปี ก่อนฟ้องจริงตามที่ผู้คัดค้านฎีกา ตราบใดที่ยังไม่มีผู้อื่นมาแย่งกรรมสิทธิ์ไป ผู้ร้องก็หาเสียกรรมสิทธิ์ไปไม่ ฎีกาผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share