แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยครอบครองที่พิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของ แม้ต่อมาจำเลยจะขอเช่าจากเจ้าของและเจ้าของไม่ยอมให้เช่า จำเลยก็หาได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์ไม่ โจทก์จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิ ก็เป็นการละเมิดต่อเจ้าของ มิใช่ละเมิดต่อโจทก์ซึ่งยังมิได้รับมอบการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินซึ่งโจทก์เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ต้องการที่ดินคืนบอกกล่าวให้จำเลยออก จำเลยกลับขัดขืนให้บังคับรื้อถอนบ้านพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกไป และใช้ค่าเสียหาย
จำเลขต่อสู้ว่า จำเลยมิได้อาศัยโจทก์แต่ได้เซ็งที่ดินจากนายจิตร ผู้ทรงสิทธิการเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริญ์ เมื่อวันที่ ๗สิงหาคม ๒๕๐๐ และต่อเติมอาคารโดยได้รับอนุญาตจากเทศบาลเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๗ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันสืบพยานโจทก์ โจทก์ส่งเอกสาร จ.๑,๒,๓,๔ และจำเลยส่งเอกสาร ล. ๑ คู่ความต่างรับรองเอกสารเหล่านั้น โจทก์แถลงว่าในประด็นข้อที่ว่า จำเลยขออาศัยและค่าเสียหาย โจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน และโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ทำสัญญาเช่าเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องขอเช่าเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๐๙ และยังไม่ได้รับอนุญาต โจทก์จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย พิพากษาให้จำเลยรื้อบ้านและสิ่งปลูกบ้านออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากาษยืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้อง คำให้าการและคำรับของคู่ความประกอบพยานเอกสารฟังได้ว่า ที่พิพาทหนี้เดิมนายจิรต ไทรสาหร่าย เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีเนื้อที่ ๗.๙๑ ตารางวา วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๐ จำเลยได้ขอเซ้งที่นี้ยาว ๑๐ ศอก กว้าง ๗ ศอก จากนายมิตร แล้วจำเลยได้ต่อเติมบ้านของจำเลยเข้ามาในที่ซึ่งจำเลยเซ้งจากนายจิตร วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๐ โจทก์ได้ซื้อห้องแถวของนายจิตรที่ปลูกอยู่ในที่ดินตามเอกสาร จ.๔ แล้วต่อมาโจทก์ได้ทำหนังสือเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ ตามเอกสาร จ.๓ ส่วนจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอเช่าที่แปลงนี้เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๐๗ ตามเอกสาร จ.๒ แต่ทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่อนุญาตให้จำเลยเช่า
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้คู่ความิได้พิพาทกันในเรื่องแย่งสิทธิการเช่าว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่าที่พิพาทนี้จำเลยหาได้เข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธินั้น เป็นการละเมิดด่อเจ้าของที่ดินหาใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่ เพราะโจทก์ยังไม่ได้รับมอบการครอบครองในที่พิพาทโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
(ศริ มลิลา แถม สิริสาลี เสลา หัมพานนท์)