คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จ้างจำเลยร่วมขนดินซึ่งถ้าผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิเลิกสัญญา และริบมัดจำได้ จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการชำระมัดจำของจำเลยร่วม ต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยร่วม แต่หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยร่วมเกลี่ยดินที่กองไว้ให้ได้ระดับที่กำหนดให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด โดยจะพิจารณาจ่ายเงินที่ค้างให้จำเลยร่วมต่อไป และให้จำเลยร่วมจัดการต่ออายุสัญญาค้ำประกันเดิมไปจนกว่าจะเกลี่ยดินเสร็จ ดังนี้ แสดงว่าโจทก์กลับมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วมอีกโดยยอมพิจารณาจ่ายเงินที่ค้างแก่จำเลยร่วมและยอมผ่อนผันไม่ริบมัดจำ ฉะนั้น บันทึกของจำเลยร่วมกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตามคำขอของโจทก์ที่ว่าจำเลยร่วมจะเกลี่ยดินให้แล้วเสร็จอย่างช้าไม่เกิน 25 วัน ถ้าทำไม่เสร็จตามกำหนด โจทก์จึงจะริบเงินมัดจำ จึงแสดงว่าโจทก์สละสิทธิริบมัดจำตามสัญญาเดิม เป็นการผ่อนผันให้แก่กันตามลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

คดีสองสำนวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมทำสัญญากับโจทก์รับจ้างขนดิน ถ้าทำงานไม่เสร็จตามกำหนดยอมให้ปรับเที่ยวละ ๕๐ บาท และยอมให้โจทก์บอกเลิกสัญญาและริบมัดจำได้ จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการชำระเงินมัดจำของจำเลยร่วมเป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยร่วมไม่สามารถทำงานเสร็จตามสัญญาโจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยร่วม และให้จำเลยชำระเงินมัดจำตามสัญญาค้ำประกันแต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันเบี้ยปรับ มิใช่มัดจำ จำเลยร่วมมิได้ผิดสัญญา โจทก์และจำเลยร่วมตกลงกันใหม่ให้จำเลยร่วมเกลี่ยดินให้เรียบร้อย โดยโจทก์จะไม่ริบมัดจำหรือเบี้ยปรับ โจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยร่วมอยู่ ๙๘,๗๓๐ บาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
บริษัทผ่องสวัสดิ์พาณิชย์จำกัดร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
สำนวนที่ ๒ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์ขนดิน ต่อมาจำเลยบอกเลิกสัญญาและค้างเงินที่จะต้องชำระให้โจทก์ ๙๘,๗๓๐ บาท จึงขอให้ชำระ
จำเลยให้การว่า โจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญา และมีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระมัดจำ ๙๐,๐๐๐ บาท หากต้องรับผิดจำเลยก็ขอหักกลบลบหนี้ กับต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลให้เรียกเทศบาลว่าโจทก์ ธนาคารว่าจำเลย และบริษัทว่าจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยร่วมได้ แต่โจทก์สละสิทธิการริบมัดจำ โจทก์ยังค้างเงินจำเลยร่วม ๙๘,๓๗๐ บาท จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยร่วม ๙๘,๓๗๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยร่วม ๘,๓๗๐ บาท
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยร่วมเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาได้ แต่หลังจากบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยร่วมขอให้เกลี่ยดินที่นำมากองไว้ให้ได้ระดับที่กำหนดไว้โดยเร็วที่สุด โดยโจทก์จะพิจารณาจ่ายเงินที่ค้างจ่ายให้จำเลยร่วมต่อไป และให้จำเลยร่วมจัดการต่ออายุสัญญาค้ำประกันเดิมไปจนกว่าจะทำการเกลี่ยดินเสร็จ ซึ่งแสดงว่าโจทก์กลับมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วมอีก โดยยอมพิจารณาจ่ายเงินที่ค้างและผ่อนผันไม่ริบมัดจำ ฉะนั้น บันทึกของจำเลยร่วมและหัวหน้าสำนักงานกลางปรับปรุงแหล่งชุมชนที่จัดขึ้นตามคำขอของโจทก์ที่ว่า จำเลยร่วมจะเกลี่ยดินให้เสร็จอย่างช้าไม่เกิน ๒๕ วัน ถ้าทำไม่เสร็จตามกำหนด โจทก์จึงจะริบมัดจำ ๙๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าโจทก์สละสิทธิริบเงินมัดจำตามข้อสัญญาเดิมอันเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันตามลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อจำเลยทำงานเสร็จภายในกำหนด โจทก์จึงจะริบเงินมัดจำมิได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share