คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยป่วยด้วยโรคซึมเศร้าเกิดความเครียดในการประกอบอาชีพและรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าจนมีความกร้าวร้าวสะสมมากขึ้น เมื่อพบโจทก์ร่วมกำลังขับเรือเร่ขายสินค้าเช่นเดียวกับจำเลยจึงกระตุ้นจิตใจให้มีความกร้าวร้าวยิ่งขึ้นจนทำร้ายโจทก์ร่วมอย่างรุนแรง แต่จำเลยยังขับเรือหลบหนีกลับบ้านได้ แสดงว่าสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้างต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดฟันหญ้ายาวประมาณ 20 นิ้วครึ่งเป็นอาวุธฟันนายลิ้มเกา เจริญประกอบกิจ ผู้เสียหายหลายครั้งโดยเจตนาฆ่า อาวุธมีดถูกบริเวณลำคอ ศีรษะ ใบหน้า ฝ่ามือทำให้กะโหลกศีรษะแตกยุบ เลือดออกเยื่อหุ้มสมอง แต่ผู้เสียหายได้รับการรักษาทันท่วงทีจึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลยคงได้รับอันตรายสาหัสต้องบาดเจ็บทุพพลภาพ ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาจนประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่า20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 33 ริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นายลิ้มเกา เจริญประกอบกิจ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 (ที่ถูกมาตรา 80) ให้จำคุก12 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนที่รับว่าใช้อาวุธมีดฟันโจทก์ร่วมจริงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก9 ปี ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย10 ปี คำรับชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและให้ความรู้ต่อศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาประกอบกับจำเลยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและได้บรรเทาผลร้ายด้วยการชดใช้ค่าเสียหายจนโจทก์ร่วมพอใจและไม่ติดใจเอาความจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง โจทก์ร่วมถูกทำร้ายได้รับอันตรายมีบาดแผลถูกฟันที่ศีรษะด้านขวาและซ้าย10 แผลเศษ ทำให้กะโหลกศีรษะด้านหน้าขวาและซ้ายแตกกดยุบลงศีรษะด้านข้างและท้ายทอยซ้ายแตกมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกด้านข้างซ้ายฝ่ามือขวามีบาดแผล 2 แห่ง ยาว 4 เซนติเมตรและจมูกด้านซ้ายเป็นรอยบาดแผลผิวหนังถลอกรายละเอียดตามรายงานการตรวจบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง มีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมและนายสมโชติ แก้วนุ่น เป็นพยานเบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมกำลังขับเรือออกไปค้าขายตามปกติ จำเลยขับเรือไปค้าขายเช่นเดียวกับโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยขับเรือไปทันเรือโจทก์ร่วม จำเลยเทียบเรือโจทก์ร่วมแล้วจำเลยกระโดดขึ้นเรือโจทก์ร่วมและใช้มีดดาบยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่งฟันที่ศีรษะ ลำคอของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมพยายามปัดป้องจากนั้นจำเลยหยิบขวดขว้างใส่โจทก์ร่วมแล้วจำเลยกลับขึ้นเรือของตนขับออกไป เห็นว่า พยานทั้งสองของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวมีเหตุผลและเชื่อมโยงกันเป็นลำดับต่อเนื่องน่าเชื่อถือ ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน พยานได้เห็นเหตุการณ์เป็นเวลานานโดยเฉพาะโจทก์ร่วมยังมีสติตลอดเวลาตั้งแต่จำเลยขับเรือมาจอดเทียบเรือของโจทก์ร่วมแล้วกระโดดขึ้นเรือของโจทก์ร่วมและใช้มีดฟันโจทก์ร่วมจนกระทั่งจำเลยกระโดดกลับเรือของตนขับออกไป เมื่อพิจารณาบาดแผลของโจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.25 ประกอบกับความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจรักษาโจทก์ร่วมตามบันทึกคำให้การเอกสารหมายจ.26 เฉพาะบาดแผลที่ศีรษะโจทก์ร่วมประมาณ 10 แผลทำให้ศีรษะด้านหน้าขวาและซ้ายแตก กดยุบลง ศีรษะด้านข้างและท้ายทอยซ้ายแตก มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกด้านข้างซ้ายในขณะที่แพทย์รับตัวโจทก์ร่วมนั้น โจทก์ร่วมช็อกเนื่องจากเสียเลือดมากหากไม่ได้รักษาทันท่วงทีโจทก์ร่วมอาจถึงแก่ความตาย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยใช้อาวุธมีดฟันโจทก์ร่วมเต็มแรง อาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายเป็นมีดฟันหญ้ามีขนาดใหญ่จึงเชื่อว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมจริงตามฟ้องฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำไปโดยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้หรือไม่เห็นว่า ในขณะเกิดเหตุจำเลยขับเรือออกไปค้าขายซึ่งเป็นวิถีชีวิตตามปกติ ในเรือของจำเลยมีสินค้าต่าง ๆสำหรับจำหน่ายอันเป็นอาชีพของจำเลย จึงถือได้ว่าจำเลยยังสามารถประกอบอาชีพตามที่เคยปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยสามารถขับเรือกลับไปบ้านของตนและอยู่ที่บ้านจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยไว้ได้แต่เมื่อพิจารณาคำให้การของนายแพทย์วีระเดช วีระพงศ์เศรษฐ์ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจรักษาวินิจฉัยผู้ป่วยทางจิตเวช โรงพยาบาลนิติจิตเวชตามเอกสารหมาย จ.27 ได้ความว่า จากการตรวจรักษาอาการป่วยของจำเลยประกอบกับตรวจสอบประวัติของจำเลยในการรักษาจากโรงพยาบาลแห่งอื่นมาก่อน มีความเห็นน่าเชื่อว่าจำเลยมีความรู้สึกในการกระทำตามวันเวลาที่เกิดเหตุได้บ้างแต่อาจเป็นการรู้ตัวในการกระทำไม่สมบูรณ์ นอกจากนั้นนายแพทย์มาโนช หล่อตระกูล เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2538ได้ตรวจรักษาจำเลยซึ่งมีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและมีอาการเช่นนี้มานานประมาณ 6 เดือน โดยจำเลยแจ้งต่อนายแพทย์มาโนชว่า จำเลยมีความเครียดจากคู่แข่งทางด้านการค้าคือผู้ขายสินค้าทางเรือ เดิมจำเลยขายสินค้าทางเรือเพียงผู้เดียว แต่ต่อมามีคู่แข่งในบางครั้งจำเลยคิดอยากทำร้ายคู่แข่งทางการค้าในบางครั้งจำเลยมีความก้าวร้าวทั้งในการทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่มาจากภายในอาการโรคซึมเศร้าเกิดจากความกดดันของสภาพแวดล้อมทำให้จำเลยมีความรู้สึกตัวเองไร้ค่ามีความคิดอยากตายมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายทำให้ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่ำลง เมื่อมีเหตุมากระตุ้นจำเลยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองขาดความยับยั้งชั่งใจ เห็นว่า การที่จำเลยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามานานประมาณ6 เดือน ก่อนเกิดเหตุจนทำให้เกิดความเครียดในการประกอบอาชีพจำเลยไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์ก่อนเกิดเหตุเพียง 2 วันสาเหตุหนึ่งที่จำเลยปรึกษากับแพทย์คือการมีคู่แข่งทางการค้าทางเรือจนทำให้จำเลยคิดทำร้ายคู่แข่งซึ่งคือโจทก์ร่วม การที่จำเลยเครียดและไปพบแพทย์ด้วยปัญหาดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความผิดปกติทางจิตใจเป็นอันมาก และอาจรู้สึกตัวว่าในบางขณะจำเลยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อมีเหตุกระตุ้นทั้งจำเลยมีสติปัญญาทึบ การที่จำเลยไม่มีเรื่องโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมมาก่อน ลำพังแต่เพียงการค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันโดยเร่ขายทางเรือและไม่ปรากฏว่ามีความขัดแย้งหรือแบ่งชิงลูกค้ากัน จึงไม่มีมูลเหตุที่จำเลยจะเครียดแค้นจนถึงกับต้องทำร้ายโจทก์ร่วม แต่น่าเชื่อว่าเป็นเพราะอาการป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจนแสดงออกในทางเกิดความเครียดในการประกอบอาชีพและรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าจนมีความกร้าวร้าวสะสมมากขึ้น เมื่อพบโจทก์ร่วมกำลังขับเรือเร่ขายสินค้าเช่นเดียวกับตน จึงเป็นเหตุกระตุ้นจิตใจของจำเลยซึ่งกำลังผิดปกติด้วยโรคซึมเศร้าให้มีความกร้าวร้าวยิ่งขึ้นจนจำเลยแสดงออกด้วยการทำร้ายโจทก์ร่วมอย่างรุนแรง แต่หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยยังสามารถขับเรือแล่นหลบหนีกลับบ้านได้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้างต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65วรรคสอง ซึ่งศาลอาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้เพียงใดก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสอง ลงโทษจำคุกจำเลย4 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ประกอบกับจำเลยบรรเทาผลร้ายด้วยการชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่พอใจของโจทก์ร่วม นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนพฤติการณ์ในการกระทำความผิดมีสาเหตุจากอาการป่วยทางจิตประกอบกับระดับสติปัญญาของจำเลยเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัว จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปีให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ภายในเวลา2 ปี ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยไปรับการบำบัดรักษาอาการป่วยทางจิตจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลนิติจิตเวชตามที่แพทย์นัดจนกว่าจะหายเป็นปกติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share