แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 (1) จำเลยจึงอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งดังกล่าวนี้ได้
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำละเมิด จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิดต่อสู้คดีวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๔ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณา นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๒๘ เดือนหน้า เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา พอถึงวันที่ ๒๘มิถุนายน ๒๕๑๔ นักการศาลรายงานเสนอศาลว่า นัดสืบพยานโจทก์วันนี้เวลา ๑๐ นาฬิกา ได้เรียกหาคู่ความจนถึงเวลานัดแล้ว ยังไม่มีคู่ความมาศาลศาลชั้นต้นสั่งในวันเดียวกันว่า โจทก์จำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาล ถือว่าโจทก์จำเลยขาดนัดพิจารณา ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ครั้นถึงวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๔ เจ้าหน้าที่ศาลรายงานเสนอต่อศาลว่า โจทก์จำเลยมาศาลวันนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๑๔ นั้นตรวจดูบัญชีนัดของศาลแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้นัดคดีไว้ในวันนั้น คงมีนัดไว้แต่ที่หน้าปกสำนวนและในบัญชีลอยของศาล ศาลชั้นต้นจึงสั่งว่าเป็นการสั่งจำหน่ายคดีผิดพลาดไป เห็นสมควรเพิกถอน และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๔ โจทก์ยื่นคำร้องว่า คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนและสั่งดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้สั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว และศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีนี้ เวลา ๑๓.๓๐ น. โจทก์ขอเลื่อนคดี จำเลยไม่คัดค้าน ศาลให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์วันอื่นแล้ว จำเลยแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น และอุทธรณ์ว่าคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งที่ทำให้คดีเสร็จไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๒), ๑๓๒(๒)และมาตรา ๒๐๐ คดีย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๗ ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ ที่จะสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ และให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้นัดสืบพยานโจทก์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยไม่ได้ขาดนัดพิจารณา หาใช่เป็นการจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๒)และมาตรา ๑๓๒ (๒) ไม่ พิพากษายืน ค่าทนายชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้มีการพิจารณาคดีใหม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า จำเลยจะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาปัญหาข้อนี้โดยที่ประชุมใหญ่แล้ว มีมติว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้แล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งใหม่ให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเช่นนี้ไม่เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖(๑) จำเลยจึงอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งดังกล่าวนี้ได้
คดีได้ความดังกล่าวข้างต้น ฟังได้แน่นอนว่าศาลชั้นต้นไม่ได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๑๔ ที่ศาลชั้นต้นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณาและสั่งให้จำหน่ายคดีในวันที่กล่าว เป็นคำสั่งให้จำหน่ายคดีโดยที่โจทก์จำเลยไม่ได้ขาดนัดพิจารณา จึงเป็นคำสั่งให้จำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิด ไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๐และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย