คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้นมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามมาตรา 138 คงบังคับไว้แต่เพียงต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดี ซึ่งรวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้วย ถ้านอกประเด็น ศาลก็ไม่มีหน้าที่ทำยอมให้ และเมื่อปรากฏชัดว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว. ก็ต้องพิพากษาคดีให้เสร็จไปตามยอมนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอในฟ้องหรือไม่
ส่วนที่ทนายจำเลยตกลงยอมให้ค่าทนายโจทก์ 3,000 บาทเมื่อทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ได้ตามใบแต่งทนายจำเลย. จำเลยจะมาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบไม่ได้และกรณีเช่นนี้คู่ความจะตกลงค่าทนายความมากน้อยเท่าใดก็ได้เพราะเป็นเรื่องตกลงกันให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมอันได้แก่ค่าทนายความด้วย ไม่จำต้องถือตามบัญชีอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมิใช่เรื่องที่ศาลกำหนดค่าทนายความให้ฝ่ายแพ้ใช้แทน ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าทนายความนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 163 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินโฉนดที่ 7080 ของโจทก์ โดยมีสัญญาเช่าคราวละ 1 ปี จนถึงปี 2498 หลังจากนั้น โจทก์ยอมให้จำเลยเช่าอยู่เรื่อยมาโดยไม่มีสัญญาต่อกัน ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2512 โจทก์มีหนังสือขอขึ้นค่าเช่าจากเดือนละ 75 บาท เป็น 150 บาท ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2512 เป็นต้นไป จำเลยทราบแล้วเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ ให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 375 บาท กับใช้ค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่า เช่าที่ดินโจทก์จริง เมื่อโจทก์ขอขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 150 บาท จำเลยขอต่อรองเหลือ 120 บาท โจทก์ไม่ยอม จำเลยจึงไปติดต่อทนายโจทก์ขอชำระค่าเช่าตามที่โจทก์ต้องการ แต่ทนายโจทก์ขอค่าทนายอีก 2,500 บาท จำเลยขอให้รับเงินค่าเช่าไว้ก่อน ค่าทนายค่อยพูดกันทีหลังทนายโจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าไว้ การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

วันนัดสืบพยานนัดแรก ทนายโจทก์ ทนายจำเลยต่างมาศาล ตัวจำเลยป่วย ทนายทั้งสองฝ่ายจึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมนั้นแล้ว โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในที่เช่าได้อีก 1 ปี จำเลยยอมให้ค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายรวม 975 บาท กับค่าทนายอีก 3,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์ว่า ทนายจำเลยทำการฉ้อฉลจำเลยและการตกลงยอมความกับทนายโจทก์เป็นไปโดยพลการ เกินคำขอ เป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(2) ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เฉพาะเรื่องที่อ้างว่าเป็นการฉ้อฉล

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้น มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องสืบพยานกัน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามมาตรา 138 คงบังคับไว้แต่เพียงต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดี ซึ่งหมายรวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นนั้น ๆ ด้วย ถ้านอกประเด็น ศาลก็ไม่มีหน้าที่ทำยอมให้ และเมื่อปรากฏชัดว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ต้องพิพากษาคดีให้เสร็จไปตามยอมนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอในฟ้องหรือไม่

ส่วนที่ทนายจำเลยตกลงยอมให้ค่าทนายโจทก์ 3,000 บาทนั้นเมื่อทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ได้ตามใบแต่งทนายจำเลย จำเลยจะมาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบไม่ได้ และกรณีเช่นนี้ คู่ความจะตกลงค่าทนายความมากน้อยเท่าใดก็ได้เพราะเป็นเรื่องตกลงกันให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมอันได้แก่ค่าทนายความด้วยไม่จำต้องถือตามบัญชีอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมิใช่เรื่องที่ศาลกำหนดค่าทนายความให้ฝ่ายแพ้ใช้แทน ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าทนายความนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 163 แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ย่อมมีผลผูกพันจำเลยได้ ไม่เสียไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยเสียนั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share