คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุมีเพียง 2 คน คือ คนหนึ่งเป็นพยานโจทก์ อีกคนหนึ่งจำเลยระบุอ้างเป็นพยานจำเลยและแถลงขอให้ส่งประเด็นไปสืบยังศาลอื่น โดยจำเลยแถลงขอตามประเด็นไปฟังการพิจารณาที่ศาลนั้นด้วย การที่ศาลใช้ดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตให้ตัวจำเลยตามประเด็นไปฟังการพิจารณา เท่ากับเป็นการตัดพยานสำคัญของจำเลย อันเป็นการไม่ให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมา แต่คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นโจทก์ นางละม่อม ยินดีพจน์ จำเลย ถึงที่สุดไปเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้อง ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ต่อมา คงเหลือคดีที่มีฎีกาต่อมาแต่เฉพาะคดีที่นายแอนหรือยอด เนื่องวิถี เป็นจำเลย ซึ่งโจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า นายแอนหรือยอดจำเลยมีปืนเป็นอาวุธ ชิงทรัพย์เรือยนต์เพลายาว 1 ลำ ราคา 8,000 บาท ของนายอั้งยู้ แซ่อื้อ ซึ่งอยู่ในความดูแลของนายจุก แซ่โค้วโดยจำเลยใช้ปืนยิงนายจุกด้วยเจตนาฆ่าเพื่อให้เป็นความสะดวกในการชิงทรัพย์ นายจุกถึงแก่ความตาย แต่จำเลยเอาเรือยนต์ไปไม่ได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,339, 80 นับโทษต่อจากคดีอาญาแดงที่ 166/2514 ของศาลจังหวัดนนทบุรีที่จำเลยเป็นจำเลยคนเดียวกันด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ รับข้อต้องโทษคดีตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 339, 80 ลงโทษตามมาตรา 289 ซึ่งเป็นบทหนัก ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ ให้ประหารชีวิตจำเลย และไม่นับโทษต่อ

จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิด และที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยตามประเด็นไปไม่ชอบ กับจำเลยควรได้ลดมาตราส่วนโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องและศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยชอบแล้วขอให้พิพากษากลับลงโทษจำเลย

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีได้ความว่า มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุเพียง 2 คน คือ นายสมนึก นัดทวี พยานโจทก์ และเด็กชายหมัด ขุนสมาน ซึ่งจำเลยระบุอ้างเป็นพยานจำเลยและแถลงขอให้ส่งประเด็นไปสืบยังศาลจังหวัดชลบุรี โดยตัวจำเลยแถลงขอตามประเด็นไปฟังการพิจารณา ศาลชั้นต้นสอบถึงเหตุผลที่จำเลยจะตามประเด็นจำเลยแถลงว่าเพื่อให้พยานชี้ตัวว่าใช่คนร้ายที่พยานเห็นในวันเกิดเหตุหรือไม่ ศาลเห็นว่าพนักงานสอบสวนเบิกความเกี่ยวกับเด็กชายหมัด ขุนสมาน แล้วว่าได้จัดให้จำเลยยืนเข้าแถวกับคนอื่นให้ชี้ตัว เด็กชายหมัด ขุนสมาน ดูแล้วว่าไม่มีคนร้ายอยู่ในกลุ่มนั้น จึงแนะนำว่าตัวจำเลยไม่ควรตามประเด็นไปเพราะเป็นระยะสิ้นปีงบประมาณ อาจมีเหตุขัดข้องทางงบประมาณ ทำให้เกิดล่าช้าในการพิจารณา หรืออาจเกิดเหตุจำเลยหลบหนีระหว่างควบคุมไปและกลับได้ควรตามประเด็นไปเฉพาะทนายจำเลย กับได้สอบเหตุผลอื่นของจำเลย จำเลยแถลงไม่มีเหตุผลอื่น ศาลแนะนำว่า ถ้าไม่มีตัวจำเลยตามประเด็นไปจะติดใจให้ส่งประเด็นหรือไม่ ทนายจำเลยแถลงว่าถ้าไม่อนุญาตให้ตัวจำเลยตามประเด็นไป ก็ขอแถลงไม่ติดใจสืบพยานประเด็น ศาลจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ตัวจำเลยตามประเด็น ทนายจำเลยจึงแถลงไม่สืบพยานประเด็น ทั้งนี้ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 กันยายน 2514

พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ในชั้นพิจารณา การพิจารณาและสืบพยานในศาลจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลยกรณีส่งประเด็นไปสืบพยานที่ศาลอื่นตามมาตรา 230 เป็นกรณียกเว้นในเมื่อจำเลยแถลงไม่ติดใจไปฟังการพิจารณา แต่ถ้าจำเลยแถลงขอไปฟังการพิจารณา มาตรา 230 วรรค 2 บัญญัติให้ศาลสั่งหรือจัดการให้เป็นไปตามคำขอนั้น ไม่มีบัญญัติยกเว้นไว้ในที่ใดให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งไม่ให้ตัวจำเลยตามไปฟังการพิจารณาได้ พฤติการณ์ตามที่ศาลแนะนำจำเลยดังกล่าวแล้วข้างต้น และได้ใช้ดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตให้ตัวจำเลยตามประเด็นไปฟังการพิจารณาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และเท่ากับเป็นการตัดพยานสำคัญของจำเลยอันเป็นการไม่ให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share