คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ ไม่ได้กำหนดว่า เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ หรือเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเลิกสัญญายึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน.ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบก่อน.ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบ.
ฎีกาซึ่งมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 6 งวดติดต่อกันรวม 30,000 บาท โจทก์ได้ยึดรถยนต์คืน และแจ้งให้จำเลยทั้งสามนำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างมาชำระ จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเพียง 3 งวดโจทก์ยึดรถคืนโดยไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2-3 ต่อสู้ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ติดค้างค่าเช่าซื้อเป็นเวลานาน ไม่แจ้งให้จำเลยที่ 2-3 ทราบ และไม่ได้รับความยินยอม โจทก์ยึดรถคืนโดยไม่บอกกล่าว เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้าชำระหนี้เพื่อรับช่วงสิทธิ และไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ อันจะปลดเปลื้องความรับผิดเพื่อหนี้ในอนาคตเป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย จำเลยผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นความรับผิด ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ค้างค่าเช่าซื้อตามฟ้อง และตามสัญญาค้ำประกันผู้ค้ำประกันยอมรับผิดแม้ในกรณีโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้เมื่อโจทก์ยึดรถคืน ก็แสดงว่าเลิกสัญญากัน และผูกพันถึงความรับผิดของจำเลยที่ 2-3 ด้วย พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระแก่โจทก์ มาในฎีกาแต่ประการใดเพียงแต่ลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาในฎีกาเท่านั้น และยังกล่าวในฎีกาด้วยว่า ปัญหาสำหรับจำเลยที่ 1 น่าจะยุติได้ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันในคดีนี้ไม่ได้กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ต้องให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ทราบ เพื่อเข้าชำระหนี้ค่าเช่าซื้อระหว่างที่จำเลยที่ 1ยังเป็นคู่สัญญากับโจทก์อยู่ หรือถ้าโจทก์จะเลิกสัญญายึดรถคืนจะต้องแจ้งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ทราบก่อนโจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องแจ้ง ถึงแม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะได้เข้าชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแทนจำเลยที่ 1 จนครบถ้วน รถก็คงตกเป็นของจำเลยที่ 1 อยู่นั่นเอง หาตกมาเป็นของผู้ค้ำประกันไม่ ก่อนฟ้องโจทก์ได้ให้ทนายมีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 2 ที่ 3 แล้ว จึงฟ้องได้ ไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้จำเลยที่ 2ที่ 3 หลุดพ้นจากความรับผิด พิพากษายืนเฉพาะที่เกี่ยวกับฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ 3 และให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1.

Share